วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ชุมชนชาวญี่ปุ่นในสมัยอยุธยา

 




ชุมชนชาวต่างชาติที่ตั้งอยู่รอบเกาะเมืองของกรุงศรีอยุธยาในสมัยที่ยังเป็นราชธานีที่น่าสนใจศึกษาคือ ชุมชนชาวญี่ปุ่น ชุมชนชาวญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งขึ้นราวๆ พ.. 2155 ใต้หมู่บ้านอังกฤษลงไป ชุมชนนี้มีชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากและมีบทบาทสำคัญในระหว่าง พ.. 2163-2172 และต่อมาหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นก็ถูกทำลายลงคนญี่ปุ่นก็อพยพออกไป เข้ามาใหม่ราวๆ พ.. 2179 จนถึง พ.. 2261 แต่คราวนี้มีจำนวน 70-80 ครอบครัว และไม่มีพวกใหม่เข้ามาเพิ่มเติมจนกระทั่งหมดตัวลงใน พ.. 2261 สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงพระราชทานที่หมู่บ้านญี่ปุ่นให้แก่พวกสเปนในปีเดียวกันนั้น
การเข้ามาของชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งภูมิลำเนาทำมาค้าขายในอยุธยานั้น ไม่มีหลักฐานว่าชาวญี่ปุ่นอพยพเข้ามาในอยุธยาตั้งแต่ครั้งใดนั้นที่แน่ชัดมากนัก แต่มีรายงานหลายชิ้นระบุว่าในสมัยกษัตริย์ เท็นโช (พ.. 2116-.. 2134) ตรงกับสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.. 2112-.. 2133) ได้ปรากฏว่ามีชาวญี่ปุ่นเข้ามาอยู่อาศัยแล้ว
ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถและโชกุนอิเอยะสุของญี่ปุ่น ได้มีการติดต่อสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการและมีความสนิทสนม ด้วยเหตุนี้ปรากฏว่าได้มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งบ้านเรือนรอบๆเกาะอยุธยามากขึ้นเรื่อยๆ มีประมาณ 1,000-1,500 คน ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาส่วนมากเป็นพ่อค้าและบางพวกเข้ามาเป็นทหารอาสา “อาสาญี่ปุ่น”
          ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งชุมชนในกรุงศรีอยุธยานั้น ดังที่กล่าวว่าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและทหารนักรบอาสาให้กับกษัตริย์อยุธยา โดยเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนเรศวร และที่สำคัญชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้น บางคนมีบทบาททางการเมือง การปกครองและการค้าที่สำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ยามาดะ นางามาซะ หรือ “ออกญาเสนาภิมุข” นอกจากนั้นแล้วยังมีชาวญี่ปุ่นอีกหลายคนที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ คือ โอทสุกะ ยิวซาเอมอง โกคากุ และอากาชิยิ เอมอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าชาวญี่ปุ่นมีบทบาทมากในสมัยอยุธยาที่ไม่สามารถมองข้ามได้
        ชุมชนชาวญี่ปุ่นที่มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นชุมชนที่ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและนักรบที่ราชสำนักอยุธยามีความไว้วางใจในเรื่องการรบและความจงรักภักษ์ดีแบบพิเศษกว่าทหารอาสาชาติอื่นๆ นี่เป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ป่น และทำให้เห็นว่าชุมชนชาวญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับราชสำนักอยุธยาอยู่อย่างแน่นอน เพราะมีบุคคลสำคัญและมีความสามารถอยู่มิใช่น้อย แล้วชุมชนชาวญี่ปุ่นนั้นมีโครงสร้างความสำพันธ์กับราชสำนักอยุธยาอย่างไรบ้าง
           โครงสร้างความสัมพันธ์ หมายถึง การศึกษาชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาและกลายเป็นชุมชนชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้น และชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานนะนักรบ และพ่อค้า ด้วย


 1.              บทบาททางการเมืองของชาวญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยานั้น สามารถแยกได้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เข้ามาเป็นทหารรับจ้างหรือกลุ่มนักรบ และอีกกลุ่มคือกลุ่มพ่อค้า ทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาเป็นนักรบนั้นค่อนข้างมีบทบาทมากในการช่วยเหลือในการทำศึกสงคราม และภายหลังมีทหารอาสาชาวญี่ปุ่นที่เข้ามามีบทบาททางการเมือง การปกครองและในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ยามาดา นางะมาซะ หรือตามชื่อไทยว่า “ออกญาเสนาภิมุข” [1] เข้ามาเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งจะได้กล่าวดังต่อไปนี้เกี่ยวกับทหารอาสาญี่ปุ่น
1.1       ทหารอาสาญี่ปุ่น
อาสาญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาททางการเมืองตั้งแต่ช่วงสมัยของสมเด็จพระนเรศวร และสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถแต่ยังอยู่ในช่วงต้นเท่านั้น ต่อเมื่อหลังจากที่พระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระพระศรีเสาวภาคกับพระศรีศิลป์ซึ่งเป็นพระราชบุตรของพระเอกาทศรถกับพระสนมเอก และพระศรีศิลป์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าทรงธรรม” และภายหลังพระองค์ได้ทำการกำจัดขุนนางที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งนั่นก็มี “ออกญากรมนายไว” ซึ่งเป็นนายของบรรดาทหารญี่ปุ่น[2] ที่มีประมาณ 280 คน ทำให้ทหารญี่ปุ่นบุกเข้าวัง เพื่อจับต้นเหตุคนที่ทำให้ออกญากรมนายไวตาย ซึ่งเป็นขุนนาง 4 คน แต่ตอนหลังตกลงกันได้และอนุญาตให้ทหารญี่ปุ่นออกจากวังได้ด้วยการนำตัวพระสงค์สามสี่รูปไปเป็นประกันในการเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาไปเพชรบุรี และทหารญี่ปุ่นได้ยึดเมืองเพชรบุรีไว้ กรุงศรีอยุธยาจึงยกทัพมาปราบขับไล่ชาวญี่ปุ่น[3] ต่อมาพระเจ้าทรงธรรมจึงได้อนุญาตให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่กรุงศรีอยุธยาได้อีกครั้ง อาจเนื่องมาจากว่าการที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เพราะมีทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งได้มีส่วนช่วยให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ ซึ่งในจำนวนนี้มี “ออกญาเสนาภิมุข” มีตำแหน่งเป็น “เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น” แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของชาวญี่ปุ่นเข้าครอบงำการเมืองการปกครองอยุธยาอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากบทบาทของ ยามาดะ นางะมาซะ อันจะกล่าวเป็นลำดับต่อไป
2.1 บทบาทยามาดะ นางะมะซะ
         ชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทและเป็นที่รู้จักกันดีคือ ยามาดะ นางะมะซะ หรือ “ออกญาเสนาภิมุข” เกิดเมื่อปี พ.. 2120  ตามหลักฐานกล่าวว่าเขาเดินทางมาถึงสยามในปี พ.. 2155 และได้ทำความดีความชอบแก่สยาม จนได้รับพระราชทานบันดาศักดิ์ออกญาเสนาภิมุขในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
ยามาดะมีส่วนในแผนชิงบัลลังก์ให้พระเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นโอรถที่พระเจ้าทรงธรรมแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบบัลลังก์ แต่พระศรีศิลป์เป็นโอรถโดยชอบธรรมที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าทรงธรรม เนื่องจากว่ายามาดะได้เล็งเห็นว่า ออกญาศรีวรวงศ์กำลังสร้างอำนาจ ซึ่งจะมีผลต่อดุลอำนาจในอยุธยา จึงได้เข้าเป็นพวกเดียวกับออกญาศรีวรวงศ์ ที่สนับสนุนให้พระเชษฐาเป็นกษัตริย์ และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จเมื่อ ยามาดะนำกำลังทหารญี่ปุ่น 600 นายเข้ามาเตรียมพร้อมในราชวังหลวง และออกญาศรีวรวงศ์ได้เลื่อนเป็น ออกญากลาโหม
           หลังเหตุการณ์นี้ยามาดะได้รับคำสั่งให้กำจัด พระศรีศิลป์ที่ทรงหนีไปผนวชที่เพชรบุรี ด้วยการหลอกให้เสด็จมาที่อยุธยาด้วยแบบฆราวาส แต่ไม่ประสบความสำเร็จพระศรีศิลป์ทรงรอดพ้นจากอันตรายนี้จากการได้รับความช่วยเหลือจากผู้จงรักภักดี พระองค์กลับไปตั้งตนเป็นใหญ่ที่เพชรบุรี และยามาดะก็ได้ตามลงไปปราบอีก ท้ายที่สุดจึงถูกสำเร็จโทษ
             เมื่อพระศรีศิลป์สวรรคต ออกญากลาโหมได้กำจัดพระเชษฐากษัตริย์อยุธยา แล้วตั้งพระอาทิตย์วงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน พระชนมายุเพียง 10 พรรษาเท่านั้น ทำให้อำนาจของออกญากลาโหมมากขึ้น และได้ขัดผลประโยชน์กับยามาดะเข้า  และเริ่มไม่มีความไว้ใจกันจนในที่สุด ออกญากลาโหมได้สั่งให้ ยามาดะไปเป็นเจ้าเมืองที่นครศรีธรรมราช จุดประสงค์เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้ออกห่างจากราชสำนักที่อยุธยาเสีย และสุดท้ายก็ถูกลอบกำจัด โดยคำสั่งของออกญากลาโหมหลังจากกำจัดพระเจ้าอาทิตย์วงศ์ และได้สถาปนาขึ้นเป็น “พระเจ้าปราสาททอง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ปราสาททอง แห่งอยุธยาได้สำเร็จ
บทบาทของยามาดะดังกล่าวทำให้เห็นว่าชาวญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองมาก เพราะมีฐานอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจทางทหารที่ยามาดะสั่งสมมาทำให้เขาสามารถมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ได้ในอยุธยา และยังมีตำแหน่งขุนนางรองรับ นั่นหมายความว่า ยามาดะเป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่ในระดับหนึ่งเพราะได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์และขุนนางระดับสูงในอยุธยาเป็นอย่างมาก และด้วยอิทธิพลของยามาดะทำให้เกรงว่าจะก่อการไดๆขึ้น เมื่อออกญากลาโหมขึ้นครองราชย์จึงได้สั่งย้ายไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราชที่อยู่ห่างจากกรุงศรีอยุธยา เพราะสาเหตุสำคัญที่สุดคือ การแสดงความคิดเห็นต่อการสถาปนากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาของยามาดะเอง นั่นคือเขาได้เคยพูดกับออกญาศรีวรวงศ์ไว้ว่า จะไม่ยกย่องขุนนางผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งเป็นกษัตริย์อย่างแน่นอนถ้าพระโอรถของกษัตริย์ยังมีพระชนชีพอยู่ นั่นทำให้พระเจ้าปราสาททองไม่สามารถไว้วางใจยามาดะได้อีกต่อไป เมื่อเขาซึ่งเป็นขุนนางได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอยุธยา

2.              บทบาททางการค้าของชาวญี่ปุ่น
                 ญี่ปุ่นกับอยุธยามีการติดต่อการค้าขายมานานทางเรือสำเภา ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ที่อยุธยาจะนับถือศาสนาคริสต์ ตามคำให้การของบาทหลวง แอนโทนีโอ คาร์ทูมที่กล่าวว่าเคยประกอบพิธีศิลมหาสนิทแก่คริสต์เตียนชาวญี่ปุ่นกว่า 400 คน ในอยุธยาเมื่อ พ.. 2170[1] และสันนิฐานว่าหมู่บ้านญี่ปุ่นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในปี พ.. 2159 [2] เหตุเพราะเป็นช่วงที่การค้าขายระหว่างสองอาณาจักรมีความรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก และสินค้าส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นนำเข้าจากอยุธยาคือ ไม้ฝาง ไม้กฤษณา และหนังกวางในปริมาณที่สูง จึงจำเป็นต้องมีผู้ที่ชำนาญในการจัดเตรียมสินค้าดังกล่าว สอดคล้องกับเอกสารของบริษัทอิสอินเดียตะวันออกของฮอลันดาที่ระบุไว้ว่า ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้จัดการสินค้า โดยเฉพาะหนังกวางที่ต้องการผู้ที่มีความชำนาญในการล่าและถนอมให้สามารถอยู่ได้คงทนที่สุด ดังนั้นการขยายตัวของชุมชนญี่ปุ่นจึงน่าจะมาจากการขยายตัวทางการค้าระหว่างสองอาณาจักรประกอบกับบทบาททางการค้าของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยา[3]
             นอกจากนั้นแล้วชาวญี่ปุ่นในอยุธยายังดำเนินการค้าเองด้วยการผูกขาดสินค้า และการค้าสำเภา ที่ชาวญี่ปุ่นในอยุธยาสามารถเดินทางไปค้าขายกับญี่ปุ่นได้ด้วยการได้รับใบเบิกร่องประทับตราแดง โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกใบเบิกร่อง 3 ใบให้แก่ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในแดนสยาม ซื่อโยเอมอง ทั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือจากชาวญี่ปุ่นด้วยกันชื่อ อาริมะ ฮารุโนบุ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นได้สนับสนุนให้มีการค้าขายกับประเทศทางใต้ คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยาขณะนั้นมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงดึงระดับที่ขอใบเบิกร่อง เพื่อเดินทางติดต่อค้าขายกับประเทศญี่ปุ่นได้ และยังเป็นการสร้างฐานะความสัมพันธ์ระหว่างกันอีกด้วย นั่นทำให้เห็นว่าชาวญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักอยุธยา เพราะพวกเขามีสิทธิ์ที่จะค้าขายโดยตรงกับญี่ปุ่นโดยใช้อำนาจและอิทธิพลของ ชาวญี่ปุ่นเองเช่น ยามาดะ ใน จดหมายเหตุเรื่องทางพระราชไมตรีกรุงศรีอยุธยากับกรุงญี่ปุ่น ปรากฏว่ายามาดะ เป็นผู้หนึ่งที่ส่งหนังสือถึงเจ้าเมืองญี่ปุ่นและขอร้องให้ออกใบเบิกร่องประทับตราแดงให้ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยา และชาวต่างชาติด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่านอกจากชาวญี่ปุ่นจะมีอิทธิพลทางการเมืองแล้ว ยังมีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจการค้าของอยุธยาด้วยนั่นเอง

             ดังนั้นโดยศึกษาโครงสร้างความสัมพันธ์ของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยากับราชสำนักอยุธยา  ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยานั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชสำนักอยุธยาประการแรกความสัมพันธ์ทางการเมือง เมื่อชาวญี่ปุ่นในอยุธยามีอิทธิพลอำนาจในทางการเมืองของอยุธยา โดยเริ่มจากการเข้ามาเป็นทหารอาสาในอยุธยาจนสามารถสร้างความดีความชอบให้แก่ราชสำนัก จนชาวญี่ปุ่นหลายคนเป็นที่ไว้วางใจ คือออกญาเสนาภิมุข หรือที่รู้จักกันดีว่า ยามาดะ เนื่องจากมีความจงรักภักดีและมีความเก่งกล้าสามารถ และตอนหลังได้มีอิทธิพลทางการเมืองของอยุธยา เช่น การมีส่วนช่วยกษัตริย์ในการสืบบัลลังก์อยุธยา และยังมีเครือข่ายอำนาจอยู่ในระบบขุนนางของอยุธยาอยู่พักหนึ่งก่อนจะถูก กำจัดเนื่องจากเกรงว่าอำนาจของทหารญี่ปุ่นที่มีมากเกินไปจะไม่ปลอดภัยต่อราชสำนักในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง
ประการที่สุดท้ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ที่อยุธยาส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ และส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย กับเป็นทหารรับจ้าง ชาวญี่ปุ่นจะมีบทบาทในทางเศรษฐกิจคือการจัดหาและดูแล สินค้าที่จะส่งไปญี่ปุ่นให้กับชาวต่างชาติด้วย และทำการค้าของชาวญี่ปุ่นไปด้วย และมีสายสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักอยุธยา และการสนับสนุนการค้าของญี่ปุ่น ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีฐานอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงมากในสมัยนั้น
       ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจเหล่านี้ทำให้ชาวญี่ปุ่นกลายเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่อาจถูกจับตามองจากขั้วอำนาจตรงข้ามเพราะเกรงจะมีอิทธิพลมากจนเกินไป ประกอบกับความจงรักภักดีต่อเจ้านายของชาวญี่ปุ่นทำให้เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของกษัตริย์อยุธยา หมู่บ้านญี่ปุ่นถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เหลือเพียงไม่กี่ครอบครัว และหลังจากนั้นหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นก็เป็นอันต้องร้างไปในที่สุด เมื่อสามารถกำจัดผู้นำ ออกญาเสนาภิมุขได้สำเร็จในสมัยพระเจ้าปราสาททอง









[1]ศิริเพ็ญ วรปัจสุ. การศึกษาความสัมพันธ์ไทยและญี่ปุ่นสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จากหลักฐานทางโบราณคดี. การค้นคว้าอิสระ สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี  มหาวิทยาลัยศิลปากร,2553. หน้า 3.
[2] เรื่องเดียวกัน. หน้า 13.
[3] เรื่องเดียวกัน.





[1] มานะจิต หะยีดิน. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปะศาสตร์บัณฑิต (โบราณคดี)  มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2518. หน้า 58.
[2] เรื่องเดียวกัน. หน้า 67.
[3] เรื่องเดียวกัน.



ถนน "เจริญกรุง"ถนนแบบตะวันตกสายแรกของประเทศไทย

    ถนนสายใหม่ สายแรกในประเทศไทย           แรกเริ่มเดิมทีไทยไม่มีการตัดถนนแบบ เรียบๆแบนๆ ดูมีแบบแผน เราใช้ถนนที่เรียกว่า "ทางเกวียน ...