วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สายสัมพันธ์สองฝั่งโขง

"เริ่มต้นด้วยการเดินทาง แล้วชีวิตเราจะไม่ธรรมดา" 

เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีโอกาสได้เดินทางไปเก็บข้อมูลภาคสนามที่ อ เขมราฐ และฝั่งประเทศลาวแขวงสะวันนนะเขต ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ อ เขมราฐ เริ่มแรกทีมนักศึกษาลงพื้นที่ครั้งนี้มีทั้งหมดเกือบ 40 คนได้ เรามาถึงเขมราฐ เมื่อเวลาประมาณ ห้าโมงเช้า ที่เขมราฐเราเคยมาสองสามครั้งแล้ว มากี่ทีที่นี่ยังคงมีเสน่ห์ ด้วยวัฒนธรรมสองฝั่งโขงและบรรยากาศดีเสมอ 


เราไปถึงมีพี่ๆชมรมนักถ่ายภาพของเขมราฐมาคอยให้การต้อนรับและได้อธิบายประวัติความเป็นมาแบบคร่าวๆให้เข้าใจ โดยผู้ที่อธิบายคือ คุณตาสวัส ปราชญ์ชาวบ้านแห่งเขมราฐนั่นเอง เมื่อก่อนเขมราฐมีชื่อเดิมว่า "เมืองเขมราฐธานี" หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็น อ เขมราฐ เมื่อเปลี่นแปลงการปกครองใหม่ คุณตาใจดีมากเพราะระหว่างที่ไปวันแรกได้พาไปเยี่ยมบ้านของคุณตาด้วยในวันแรกที่ไปถึงเขมราฐ โดยมีพี่ๆชมรมถ่ายภาพเขมราฐคอยเป็นไกท์นำเที่ยวให้ พาไปเที่ยวและเก็บข้อมูลในที่ต่างไที่เป็นประโยชน์ทั้ง บ้านเก่า ชุมชนสมัยก่อน วัดสำคัญๆ เดินเล่นริมฝั่งโขง ฯลฯ พอตกเย็นก็ได้ลำกลอนเป่าแคนเล่นพินอีสานให้ฟังสนุกสนานริมฝั่แม่น้ำโขงค่ะ

ความประทับใจของเขมราฐยังไม่สุดเพียงเท่านั้น ตลอดวันแรกจะเห็นชาวลาวฝั่งตรงข้ามได้ข้ามฝั่งเข้ามาจับจ่ายซื้อของที่เขมราฐ โดยเฉพาะช่วงงานบุญเทศกาลต่างๆชาวลาวจะเข้ามาร่วมประกอบพิธีกรรมด้วย เราได้เห็นถึงวัฒนธรรมร่วมของพี่น้องสองฝั่งโขง เห็นแล้วมันไม่มีเรื่องงรัฐชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อยความเชื่อวฒนธรรมประเพณีเหล่านี้ได้รับการสืบทอดต่อๆกันมาครั้งสมัยบรรพบุรุษดั้งเดิมแล้ว 

เรามองเห็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมของประชาชนทั้งสองฝั่งโขงในเรื่องของศาสนาความเชื่อร่วมกัน จากการประกอบพิธีกรรมดังที่กล่าวไปข้างต้น เห็นภาพความเป็นมิตรภาพบ้านพี่เมืองน้องอย่างชัดเจนที่สุด ทั้งชาวลาวเองก็มีความใกล้ชิดกับชาวไทยบริเวณริมฝั่งโขง พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ปัจจุบันถูกแบ่งแยกด้วยรัฐชาติแต่ท้จริงแล้วประเทศทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่เป็นอันมาก

วิธีการทูตนายพลนากามูระ อาเคโตะ

บันทึกการอ่าน

ชื่อหนังสือ  ผู้บัญชาการชาวพุทธความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา


ประวัติผู้เขียนและที่มาของหนังสือ
ผู้เขียนคือ ผู้บัญชาการนากามูระ เกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2432 ที่ชนบทในจังหวัดไอจิ แถบเมืองนาโกยา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ยศเป็นนายร้อยตรีเมื่อ พ.ศ. 2453 ต่อมาปี พ.ศ. 2465 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกและได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี เมื่อเดินทางกลับมาประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ต่อมาเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 24 ในเขตแมนจูเรีย และเข้าประจำกระทรวงกลาโหมในตำแหน่งอธิบดีกรมกิจการทหาร และกรมธุรการทหารตามลำดับ ในปลายปี พ.ศ. 2483 มีภารกิจสำคัญคือ เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 5 บุกเข้าไปในตอนเหนือของอินโดจีน-ฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2484 เป็นผู้บัญชาการกองพลประจำนาโกยาที่บ้านเกิด และในปีเดียวกันได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกรมสารวัตรทหาร อันเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้ามาเป็นผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2486 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
บันทึกนายพลนากามูระ ชื่อเป็นภาษาไทยว่า ผู้บัญชาการชาวพุทธ ความทรงจำของนายพลนากามูระ เกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาพิมพ์ครั้งที่ 3 บันทึกนี้นายพลพยายามเขียนขึ้นก่อนที่จะมาเยือนเมืองไทยแต่ไม่สำเร็จ แต่หลังจากที่นายพลได้กลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้งจึงแล้วสำเร็จได้ ชื่อหนังสือ เนื่องจากว่า นายพลได้กล่าวกับนายกฯโตโจ ว่าจะไปเมืองไทยเหมือนกับเป็น พระโพธิสัตว์ฉะนั้นบรรณาธิการหนังสือจึงขอตั้งชื่อว่า  ผู้บัญชาการชาวพุทธ


เนื้อหา
เนื่องจากเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดต่อเหตุการณ์และบุคคลต่างๆที่ผ่านประสบการณ์ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ทำให้หนังสือเล่มนี้มีลักษณะที่อ่านแล้วเห็นถึงอารมณ์ของผู้เขียนบันทึก นั่นคือนายพลนากามูระ เป็นช่วงๆที่อาจจะกระทบจิตใจของนายพลนากามูระอยู่พอสมควร จึงทำให้เนื้อหาของบันทึกอาจจะไม่ได้ถูกเรียบเรียงเขียนให้อ่านได้ประติดประต่อกันมากนักเหมือนหนังสือที่ถูกแต่งขึ้นผ่านการเรียบเรียงมาอย่างดีแล้ว แต่หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจและสามารถอ่านเพื่อความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ต้องอาศัยการจัดลำดับเหตุการณ์ การวิเคราะห์ อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เห็นในประเด็นสำคัญความสัมพันธ์ต่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น ในทางการทูต ของนายพลนากามูระที่เขียนบันทึกลงไปในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะพันธมิตรฝ่ายอักษะกับญี่ปุ่น นับตั้งแต่มีการลงนามข้อตกลงกติกาสัมพันธไมตรีไทย-ญี่ปุ่น ในปี พ.. 2484  
1. แนวคิดและวิธีการดำเนินการทูตของนายพลนากามูระ
การมาเมืองไทยเพื่อมารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยของนายพลนากามูระ ในปี พ.. 2486 หลังกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาประจำการในเมืองไทยผ่านไปแล้วเป็นเวลาประมาณ ปี ซึ่งสถานการณ์ในเมืองไทยขณะนั้นกำลังเกิดปัญหาความยุ่งยาก อันเนื่องมาจากปัญหาต่างๆและสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศไทย ดังต่อไปนี้คือ 
ประการแรก ปัญหาหนี้สินของกองทัพญี่ปุ่นกับประเทศไทยหลังกองทัพบุกพม่าอย่างรวดเร็วจนทิ้งหนี้สินค้างไว้มากพอสมควรทำให้ฝ่ายไทยไม่ค่อยพอใจนัก
 ประการที่สอง ปัญหาทรัพย์สินของอังกฤษที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าทรัพย์สินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของญี่ปุ่นหรือของไทยหรือฝ่ายไดจะได้ใช้บ้างซึ่งยังไม่มีการตกลงกันอย่างแน่นอน   
ประการที่สาม ปัญหาความรุนแรงคือเหตุการณ์ที่บ้านโป่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ความรู้สึกไม่ดีต่อทหารญี่ปุ่น ของคนไทยเป็นอย่างมาก
ประการที่สี่ ปัญหาเรื่องความแตกต่างทางขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญที่สุดคือการตบหน้าและตบหัว ซึ่งเป็นปัญหาความไม่เข้าใจกันของทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายญี่ปุ่นถือว่าการตบหน้า ตบหัวถือเป็นเรื่องปกติ แต่คนไทยถือเป็นการทำให้เสียเกียรติอย่างรุนแรง
ประการสุดท้าย ปัญหาการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ทหารไทย คือหลังจากทำพันธมิตรไทย-ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว ฝ่ายไทยได้เรียกร้องอาวุธยุทโธปกรณ์และสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันจากฝ่ายญี่ปุ่น แต่ไม่เป็นผล ทำให้กองทัพไทยมีความผิดหวังเป็นอย่างมาก ทำให้ความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นหน้าเป็นห่วงอยู่ตลอดมา
จากสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยุ่งยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นและติดค้างมานานจากการเข้ามาประจำการของทหารญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์บ้านโป่งในปี พ.. 2485 นายพลนากามูระเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพฯ ในปี พ.. 2486
การมารับตำแหน่งในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจพิเศษสำหรับญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นมีความประสงค์จะฟื้นฟูและรักษาสัมพันธไมตรีกับไทยต่อไปให้ตลอดสงครามทั้งในระดับรัฐบาลและในระดับประชาชน เห็นได้จากการที่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้ทรงมีความสนใจเป็นพิเศษต่อภารกิจในครั้งนี้ ดังนั้นการเลือกนายพลนากามูระเข้ามาเป็นผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นฯ จึงมีความหมายอย่างยิ่ง ที่จะสามารถปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยลักษณะเฉพาะของนายพลนากามูระที่ถูกมองว่าเป็นนายทหารระดับสูงที่มีประสบการณ์และมีความเป็นกลางอยู่ในระดับหนึ่ง ฉะนั้นการส่งมาปฏิบัติภารกิจในเมืองไทยจึงเป็นตำแหน่งที่ทางญี่ปุ่นคิดแล้วว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และเมืองไทยเป็นเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมากเช่นกัน
1.1 ระดับประชาชน
การมารับตำแหน่งของนายพลนากามูระ ถือเป็นหน้าที่ภารกิจที่ต้องช่วยประสานความสัมพันธ์กับไทยคือ นายพลนากามูระต้องผสานความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลกับระดับประชาชนดังที่กล่าวไปแล้ว ในขั้นแรกคือการแก้ปัญหาความเข้าในทางวัฒนธรรมของทหารญี่ปุ่นต่อวัฒนธรรมไทย เพราะการเข้าใจถึงวัฒนธรรมของอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งที่ดี ด้วยการทำหนังสือคู่มือแจกจ่ายให้ทหารญี่ปุ่นที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ให้เข้าใจวัฒนธรรมไทย เพื่อจะได้ไม่กระทำผิดอีกครั้งอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าต่อกัน ความพยายามในการผ่อนหนักให้เป็นเบาของนายพลนากามูระ เพราะความเข้าใจในระดับประชาชนกับทหารจะส่งผลดีต่อความเข้าใจในระดับรัฐบาลต่อไป ซึ่งทั้งสองจะช่วยหนุนให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้
นายพลนากามูระได้พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของคนไทยที่ต้องเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพราะเขาได้ตระหนักรู้ว่าการเข้าร่วมสงครามของประเทศไทยนั้นแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน แต่ประเทศไทยนั้นไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนให้เข้าร่วมสงคราม เพราะเมื่อเครื่องบินบินมาทิ้งระเบิดที่กรุงเทพฯสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของประชาชน อันดับแรกที่นายพลนากามูระคำนึงคือการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้วยการเสนอต่อกองทัพใหญ่ให้ช่วยบริจาคเงินให้ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย แต่กลับไม่ได้รับความเห็นชอบด้วยแต่ประการใด ยิ่งทำให้เห็นว่านายพลนากามูระมีความเป็นห่วงต่อเรื่องนี้มาก แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพใหญ่ ถ้าให้ความช่วยเหลือไปอาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างเรื่อยๆไป
เพราะด้วยแนวคิดในการปฏิบัติงานของนายพลนั้นได้ยึดมั่นในแนวทางสันติ ในการแก้ปัญหา ด้วยการพิจารณาให้รอบครอบก่อนตัดสินใจสิ่งใดลงไป และต้องไม่เป็นการชักช้าเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้วต้องปฏิบัติการให้เด็ดขาดและรวดเร็ว แนวทางนี้นายพลนากามูระได้ปฏิบัติการเชิงการทูตในระดับรัฐบาลที่ยิ่งต้องอาศัยความรอบครอบให้มากกว่าเดิมขึ้นไปอีกเท่า เพราะการแก้ปัญหาทุกอย่างจะดีที่สุดต้องเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับสูงก่อนเสมอถึงจะได้ผลลงไปในระดับประชาชน
2.2 ระดับผู้นำในคณะรัฐบาล
ในการพบปะกับผู้นำระดับสูงของไทย นายพลนากามูระมีความระเอียดรอบครอบอย่างยิ่งต่อการแสดงท่าที โดยนายพลนากามูระจะสังเกตลักษณะผู้นำฝ่ายไทยเสมอ เพราะการรู้จักลักษณะบุกคลิกเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ขาดไม่ได้ การเข้าพบจอมพล ป พิบูลสงครามในครั้งแรกนั้น ไม่เป็นไปอย่างที่คาดการเพราะจอมพล ป พิบูลสงคราม ไม่อยู่จึงให้หลวงพรมหมโยธี เป็นผู้จัดงานเลี้ยงรับรองแทน ในครั้งนี้นายพลนากามูระไม่ลืมที่จะแสดงจุดยืน และท่าทีที่ชัดเจนต่อฝ่ายไทยของฝ่ายญี่ปุ่น โดยการกล่าวสุนทรพจน์ที่บอกชัดเจนว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะปฏิบัติต่อไทยด้วยการคำนึงถึงหลักสัมพันธ์มิตร และเอกราชของไทยเป็นสำคัญ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อฝ่ายไทยได้ ด้วยแนวคิดและหลักปฏิบัติที่ได้แสดงออกไปให้ฝ่ายไทยได้รับรู้ อย่างมั่นใจ
เมื่อได้พบจอมพล ป พิบูลสงคราม ผู้นำสูงสุดของไทยในยุคนั้น นายพลนากามูระก็ไม่ลืมที่จะสังเกตและไตร่ตรองถึงบุคลิกลักษณะของจอมพล ป พิบูลสงครามทันที ซึ่งไม่เพียงแต่เท่านี้แต่ยังรวมถึงคณะรัฐบาล และผู้สำเร็จราชกาลในเมืองไทยทุกคน อันแสดงให้เห็นว่านายพลนากามูระมีความใส่ใจเป็นอย่างยิ่งที่จะศึกษาความเป็นไปของคณะรัฐบาลฝ่ายไทยทุกคน รวมถึงคนรอบข้างด้วย ตามหลักความรอบครอบในการทำหน้าที่ตรงส่วนนี้ การแสดงท่าทีสนิมสนมกับฝ่ายรัฐบาลทั้งรัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม ถึงรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ทำให้นายพลนากามูระได้รับรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆผ่านการรายงานของพวกเขาเป็นอันดับแรก และเป็นการแสดงท่าทีความเป็นมิตรอันจะทำให้การปฏิบัติงานและความสัมพันธ์ต่างๆดูราบรื่นขึ้นมาก และด้วยลักษณะความเป็นผู้บัญชาการที่นับถือศาสนาพุทธที่ค่อนข้างเคร่งครัด และการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักสำคัญตลอดเวลา เพราะประเทศไทยถือเป็นฐานทัพสำคัญมากของกองทัพญี่ปุ่นที่จะใช้เป็นฐานปฏิบัติการส่งกำลังบำรุงให้กับกองทัพที่ทำการสู่รบในแนวหน้าได้อย่างมีปัญหาน้อยที่สุด
การดำเนินการในขั้นนี้คือการเข้าพบผู้นำฝ่ายไทยบ่อยครั้ง และร่วมหารือหรือการแสดงความเคารพและให้เกียรติต่อฝ่ายไทยเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมรับประทานอาหารที่บ้านพักของจอมพล ป พิบูลสงคราม การไปเยี่ยมจอมพล ป พิบูลสงคราม ที่ลพบุรีหลังลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การจัดงานพบปะทุกๆครั้งเมื่อถึงกำหนดกับรัฐบาลใหม่ นายควง อภัยวงศ์ และเอกอัครราชทูตยามาโมโต้ เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
การมาเยือนไทยของนายยกรัฐมนตรีญี่ปุ่นโตโจ ฮิเดกิ ถือเป็นการมาที่แม้กระทั่งนายพลนากามูระเองนั้นก็ไม่ทราบว่ามาด้วยเหตุผลอันใด ทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการหารือกันระหว่างนายพลนากามูระกับนายกโตโจแล้วหลังมาถึงเมืองไทย คือต้องการยกดินแดน 4 รัฐมลายูกับ 2 รัฐฉานให้ไทย ก่อนการเปิดประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาที่กรุงโตเกียว การที่นายยกโตโจ ฮิเดกิมาเยือนไทยด้วยตัวเองนั้นอาจเป็นเพราะต้องการให้จอมพล ป พิบูลสงครามไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาด้วย ถือเป็นธรรมเนียมการทูตที่ผู้นำประเทศหนึ่งมาเยือนผู้นำอีกประเทศหนึ่ง และต่อไปผู้นำประเทศนั้นต้องไปเยือนตามธรรมเนียม แต่จอมพล ป พิบูลสงครามกลับละเลยธรรมเนียมการทูตนี้ไป โดยส่งผู้ตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมแทน ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้นายทหารญี่ปุ่นผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เชิญจอมพล ป พิบูลสงครามไปร่วมประชุมต้องเกิดความเครียด เพราะไม่สามารถเชิญจอมพล ป พิบูลสงครามไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาได้ ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งหน้าที่
เหตุการณ์นี้เป็นปัญหาหนึ่งที่ทั้งสองประเทศไม่สามารถตกลงหรือให้ความกระจ่างได้ด้วยเพราะเหตุใดแต่เรื่องนี้อยู่ในสายตาของนายพลนากามูระ ตลอดเพราะเขาได้เข้าไปช่วยเจรจากับจอมพล ป พิบูลสงคราม แต่ไม่เป็นผล สุดแล้วแต่การตัดสินใจของจอมพล ป พิบูลสงคราม ที่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ตามทัศนของนายพลนากามูระว่าอาจเป็นเพราะเสรีไทยก็เป็นได้
การปฏิบัติการภายใต้แรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงที่สงครามเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นเริ่มเสียเปรียบ ประกอบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศไทย แม้กระทั่งเรื่องการผลัดเปลี่ยนผู้นำไทย เป็นนายควง อภัยวงศ์ นายพลนากามูระก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เกิดปัญหาวุ่นวาย และต้องการรัฐบาลที่ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นต่อไปเท่านั้น  ภายหลังนายพลนากามูระได้รับแรงกดดันจากกองทัพใหญ่ให้ใช้ทหารเข้าปฏิบัติการกับประเทศไทยเช่นเดียวกับที่อินโดจีน เพราะข่าวสารจากฝ่ายญี่ปุ่นรั่วไหลไปสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร อันมีต้นเหตุมาจากขบวนการเสรีไทยที่เข้ามาปฏิบัติการในเมืองไทยมากขึ้น แต่การใช้ทหารเข้าจัดการกับประเทศไทยกลับไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่สมควรนัก นายพลนากามูระได้พยายามใช้วิธีประนีประนอม และยังคงประกาศจุดยืนชัดเจนในเจตนารมในการปฏิบัติภารกิจโดยคำนึงถึงหลักสันติวิธีและหลักสัมพันธไมตรีไทยและญี่ปุ่นเป็นหลักอยู่เสมอ แต่ก็ได้ใช้วิธีการข่มขู่เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยคิดอะไรที่จะเป็นการบีบบังคับให้ฝ่ายญี่ปุ่นต้องใช้กำลังทหาร แต่เมื่อถึงเวลาที่สุดแล้วก่อนสงครามจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของประเทศญี่ปุ่น นายพลนากามูระได้เกือบตัดสินใจนำทหารเข้าจัดการปลดอาวุธทหารไทย
การดำเนินการปฏิบัติภารกิจพิเศษในฐานะการเชื่อมสัมพันธไมตรีไทยและญี่ปุ่นของนายพลนากามูระได้จบลงด้วยดี โดยที่ไม่มีฝ่ายไดละเมิดกติกาสัมพันธมิตรจวบจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง อันแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปฏิบัติภารกิจภายใต้แรงกดดันอย่างยิ่งของนายพลนากามูระเกี่ยวกับการตัดสินใจ ที่ต้องรอบครอบ ผ่านการไตร่ตรองแล้วอย่างดี และการสังเกตหาความรู้เกี่ยวกับเมืองไทย ในความพยายามที่จะติดต่อสัมพันธ์กับผู้นำฝ่ายไทยได้อย่างใกล้ชิดสนิทสนมให้มากที่สุดเพื่อเป็นการรู้เขารู้เรา อันเป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติมาเป็นอันดับหนึ่ง ประกอบกับความอดทนอดกลั้น และด้วยบุคลิกส่วนตัวของนายพลนากามูระที่เป็นคนสุขขุมรอบครอบ จึงทำให้การปฏิบัติภารกิจผ่านไปได้ด้วยการไม่ใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับปัญหา

  

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฉันเลือกที่จะเดินไป

               ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอเริ่มต้น ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและสถานที่ก่อนนะ ว่ามันเกี่ยวข้องกับชตาชีวิตของคนเราได้ยังไง เพราะว่าคนเราทุกคนย่อมมีความสัมพันธ์กับสถานที่ไดสถานที่หนึ่งแน่นอนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนมองว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากในชีวิตของเราและทุกคนเลย ตั้งแต่เกิดจนตายก็ต้องผู้พันธ์กับเวลาและสถานที่อยู่เสมอเราใช้ชีวิตในทุกๆวัน ผ่านไปเรื่อยๆ การเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งมันอาจส่งผลกับการใช้ชีวิตของเราในอณาคตก็ได้และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปยังไงเรา ก็ถือว่าเราเคยมีความสัมพันธ์กับอดีตที่มันผ่านมาแล้ว รวมทั้งการติดต่อกับผู้คนที่เราได้พบเจอ   ผู้เขียนกล้ายืนยันว่าทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีใครอยู่คนเดียวโดยไม่พูดกับใคร หรือไม่ปฏิสัมพันธืกับใครเลยยกเว้นคนตายนะคะ ดังนั้นตลอดชีวิตของคนเราทุกคน ต้องมีความสัมพันธ์กันอยู่สามอย่างหลักๆ คือ เวลา สถานที่ บุคคล ค่ะ ในส่วนนี้อาจเกิดเหตุการณ์สำคัญบางอย่างที่ทำให้เราไม่อาจลืมเลือนจนกลายเป็นสิ่งที่น่าจดจำ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ใหญ่ระดับชาติ หรือไม่ถึงระดับชาติก็ได้ และมีการจดบันทึกเหตุการณ์ไว้กลายเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไปเลยนะคะ ฉนั้นสิ่งเหล่านี้มันเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตของคนเราให้เดินไปข้างหน้าได้ ผู้เขียนคิดว่า 
                เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำให้คิดว่า ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตของคนเรากับการสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจและเพื่อให้กลายเป็นอดีตที่น่าจดจำ หรือไม่น่าจดจำก็แล้วแต่ละคน แต่ที่แน่ๆผู้เขียนคิดว่าอนาคตจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเรามากที่สุด แต่อดีตกลับเป็นตัวช่วยเตือนความจำให้กับเราได้ดีที่สุดในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน มันจะเป็นสิ่งที่แย่มากถ้าเราใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันโดยการฝันหวานถึงแต่อณาคตที่สวยหรูว่ามันจะต้องดำเนินไปอย่างนั้นอย่างนี้ในขณะที่กำลังอยู่ในปัจจุบัน ผู้เขียนมองว่ามันอาจจะทำให้เราพลาดอะไรบางอย่างไป
คือ พลาดการใช้ชีวิตในปัจจุบันในสิ่งที่มันควรจะเป็นและดำเนินไปตามธรรมชาติตามความตั้งใจของเรา อธิบายง่ายๆคือ เราจะเสียใจถ้าภาพที่วาดฝันอณาคตของเราไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด เช่น เรานั่งทำงานอยู่ที่ห้อง แล้วคิดว่าอยากไปเดินตลาดนัด แต่พอถึงเวลาไม่ได้ไปเพราะมัวแต่นั่งทำงานอยู่ที่ห้องไม่ได้เตรียมตัวจะไปเดินตลาด ก็เหมือนกับการวาดอณาคตไว้รอทั้งที่มันยังมาไม่ถึง ผู้เขียนคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือ แค่เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าอณาคตจะเป็นอะไร ไม่ใช่ตั้งว่าอณาคตจะเกิดอะไร (ถ้ามันไม่เกิดล่ะ) เช่น อยากเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแค่นั้นพอ จากนั้นทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตในปัจจุบันของเราเอง ก็คือ การจะเป็นอาจารย์มหาวิยาลัยเขาต้องทำอะไรบ้าง เช่น ขยันตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ คบเพื่อนที่ดี หมั่นค้นหาข้อมูลต่างๆที่เราสนใจและต้องมีความสุขที่ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้เป็นต้น มันก็คือความพยายามไปให้ถึงเป้าหมาย นั่นเอง แต่ถ้าเราไม่มีุคุณสมบัติเหล่านี้มันอาจไม่ใช่ทางของเรามันอาจจะเป็นเหตุผลมากพอให้เราล้มเลิกไปเลยก้ได้ 
                              สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในทางที่เราทุกคนได้เลือกเดินตามใจนะจ๊ะ 
ชีวิตเป็นของเรา อณาคตก็เป็นของเราอยู่ที่การใช้ชีวิตว่า เราจะสร้างมันเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจะรออะไรให้ใครมาสร้างมันขึ้นมา

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ที่เรียกว่า "ความสุข"

                        หลายคนชอบถามเสมอว่าความสุขนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร? และที่สำคัญเป็นคำถามที่เราบางคนมักจะไปถามคนอื่น หรือถามคนที่มีความรู้ว่า "ความสุขคืออะไร?" เพราะเขาเหล่านั้นมักจะคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่พึงพอใจ แต่กลับลืมไปว่า คำตอบมันมาจากความรู้สึกของผู้ตอบเองเป็นส่วนใหญ่ และมันก็มักจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ และคุณก็มักจะคิดในใจเสมอว่า "มันเป็นอย่างนี้จริงๆหรอ?" หรือ "ท่าทางจะใช่จริงๆด้วย" เพราะคุณเองอาจจะรู้สึกแบบนั้นก็ได้? หรือไม่ คุณอาจจะเชื่อไปเลยว่าแท้จริงแล้วความสุขมันเป็นอย่างที่คุณได้รับคำตอบมา แต่น้อยคนนักที่จะกลับมาถามตัวเองจริงๆว่า ความสุขคืออะไร ? คุณถามเพราะอยากรู้เฉยๆ หรือถามเพราะความรู้สึกล่ะ?
                        ถ้าให้ดิฉันตอบ ดิฉันก็จะตอบตามความรู้สึกเพราะอะไรถึงตอบตามความรู้สึก เพราะความสุขมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล คนเรามีความสุขจากอะไรที่ไม่เหมือนกัน บางคนสุขเพราะเงินทอง อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปไหนก็ได้ไป แต่คุณแน่ใจแล้วหรอว่าเงินทองให้พวกนี้จริงๆ เงินทองเป็นแค่ส่วนที่อำนวยความสะดวกให้เท่านั้น ความสุขที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่คุณได้ทำต่างหาก เพราะถ้าคุณมีเงินล้นฟ้า แต่อยากไปกิน kfc แต่ไม่ได้ไป อย่างนี้จะเรียกว่ามีความสุขเพราะมีเงินอยู่ไหม ถ้าคุณจะมีความสุขก็ต่อเมื่อคุณได้กิน kfc แสนอร่อยแล้วนั่นเอง

                        แต่กับบางคนความสุขไม่ได้มาจากการมีเงินทองล้นฟ้า ไม่ต้องถึงล้นฟ้าก็ได้แค่พอมีพอกิน เขาก็สามารถมีความสุขได้ นั่นเพราะเขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำสมใจ แต่บางคนอาจถามว่า "ได้ทำสมใจแล้วบางทีมันอาจจะไม่ได้มีความสุขเสมอไป เพราะบางคนอาจทำเพราะจำใจ หรือทำเพราะความทุกข์ยากก็ได้" แน่นอนว่าถูกต้อง ซึ่งความสุขมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลอย่างที่บอก เราจะไปกำหนดอะไรให้ใครไม่ได้ว่า ถ้าทำอย่างนี้ อย่างนั้นแล้วจะมีความสุข หรือแค่ทำตามใจเรียกร้องแล้วจะมีความสุข แต่เพราะว่ามันเกิดจากความคาดหวัง ความอยากของเรา และความต้องการของเราเองต่างหาก ไม่ใช่ให้คนอื่นมากบอกว่าถ้าทำแล้วจะมีความสุข เพราะความสุขมันอยู่ที่ใจของเราเอง บางคนได้ทำตามใจอยากสำเร็จเรียบร้อยทุกสิ่งแต่กลับมีความทุกข์ นั่นคุณจะบอกหรืออธิบายได้ไหมว่าเพราะอะไร เราไม่มีทางรู้เพราะมันอาจจะมาจากภูมิหลังหรือพื้นเพ จากอดีตของเขาที่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเพราะอะไร คุณจะไปตัดสินเขาไม่ได้ ว่าเพราะอะไร นอกจากคุณจะไปถามเขาว่า " เพราะอะไรคุณถึงไม่มีความสุข?"  หรือ "เพราะอะไรคุณถึงมีความสุข?" คำตอบมีหลายอย่าง(ถ้าคุณคิดไปเอง หรือคาดเดามั่ว) แต่ถ้าคุณไปถามอย่างที่บอกไป คุณอาจจะได้คำตอบที่เฉพาะเจาะจงไปเลย(ถ้าเขาไม่พยายามปิดบังคุณนะ)
                 ดิฉันซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะอธิบายเรื่องของความสุขที่สมบูรณ์แบบได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ "เพราะความสุขเป็นเรื่องส่วนบุคคล" เพราะดิฉันเองก็พูดจากความรู้สึกส่วนตัวเหมือนกัน ซึ่งดิฉันก็มีความสุขที่ได้เขียนเล่าเรื่องจากความรู้สึกที่ "มีความสุข"

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ชุมชนชาวญี่ปุ่นในสมัยอยุธยา

 




ชุมชนชาวต่างชาติที่ตั้งอยู่รอบเกาะเมืองของกรุงศรีอยุธยาในสมัยที่ยังเป็นราชธานีที่น่าสนใจศึกษาคือ ชุมชนชาวญี่ปุ่น ชุมชนชาวญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งขึ้นราวๆ พ.. 2155 ใต้หมู่บ้านอังกฤษลงไป ชุมชนนี้มีชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากและมีบทบาทสำคัญในระหว่าง พ.. 2163-2172 และต่อมาหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นก็ถูกทำลายลงคนญี่ปุ่นก็อพยพออกไป เข้ามาใหม่ราวๆ พ.. 2179 จนถึง พ.. 2261 แต่คราวนี้มีจำนวน 70-80 ครอบครัว และไม่มีพวกใหม่เข้ามาเพิ่มเติมจนกระทั่งหมดตัวลงใน พ.. 2261 สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงพระราชทานที่หมู่บ้านญี่ปุ่นให้แก่พวกสเปนในปีเดียวกันนั้น
การเข้ามาของชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งภูมิลำเนาทำมาค้าขายในอยุธยานั้น ไม่มีหลักฐานว่าชาวญี่ปุ่นอพยพเข้ามาในอยุธยาตั้งแต่ครั้งใดนั้นที่แน่ชัดมากนัก แต่มีรายงานหลายชิ้นระบุว่าในสมัยกษัตริย์ เท็นโช (พ.. 2116-.. 2134) ตรงกับสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.. 2112-.. 2133) ได้ปรากฏว่ามีชาวญี่ปุ่นเข้ามาอยู่อาศัยแล้ว
ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถและโชกุนอิเอยะสุของญี่ปุ่น ได้มีการติดต่อสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการและมีความสนิทสนม ด้วยเหตุนี้ปรากฏว่าได้มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งบ้านเรือนรอบๆเกาะอยุธยามากขึ้นเรื่อยๆ มีประมาณ 1,000-1,500 คน ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาส่วนมากเป็นพ่อค้าและบางพวกเข้ามาเป็นทหารอาสา “อาสาญี่ปุ่น”
          ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งชุมชนในกรุงศรีอยุธยานั้น ดังที่กล่าวว่าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและทหารนักรบอาสาให้กับกษัตริย์อยุธยา โดยเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนเรศวร และที่สำคัญชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้น บางคนมีบทบาททางการเมือง การปกครองและการค้าที่สำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ยามาดะ นางามาซะ หรือ “ออกญาเสนาภิมุข” นอกจากนั้นแล้วยังมีชาวญี่ปุ่นอีกหลายคนที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ คือ โอทสุกะ ยิวซาเอมอง โกคากุ และอากาชิยิ เอมอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าชาวญี่ปุ่นมีบทบาทมากในสมัยอยุธยาที่ไม่สามารถมองข้ามได้
        ชุมชนชาวญี่ปุ่นที่มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่นั้นมีความสำคัญอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นชุมชนที่ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและนักรบที่ราชสำนักอยุธยามีความไว้วางใจในเรื่องการรบและความจงรักภักษ์ดีแบบพิเศษกว่าทหารอาสาชาติอื่นๆ นี่เป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ป่น และทำให้เห็นว่าชุมชนชาวญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับราชสำนักอยุธยาอยู่อย่างแน่นอน เพราะมีบุคคลสำคัญและมีความสามารถอยู่มิใช่น้อย แล้วชุมชนชาวญี่ปุ่นนั้นมีโครงสร้างความสำพันธ์กับราชสำนักอยุธยาอย่างไรบ้าง
           โครงสร้างความสัมพันธ์ หมายถึง การศึกษาชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาและกลายเป็นชุมชนชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้น และชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานนะนักรบ และพ่อค้า ด้วย


 1.              บทบาททางการเมืองของชาวญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยานั้น สามารถแยกได้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เข้ามาเป็นทหารรับจ้างหรือกลุ่มนักรบ และอีกกลุ่มคือกลุ่มพ่อค้า ทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาเป็นนักรบนั้นค่อนข้างมีบทบาทมากในการช่วยเหลือในการทำศึกสงคราม และภายหลังมีทหารอาสาชาวญี่ปุ่นที่เข้ามามีบทบาททางการเมือง การปกครองและในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ ยามาดา นางะมาซะ หรือตามชื่อไทยว่า “ออกญาเสนาภิมุข” [1] เข้ามาเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งจะได้กล่าวดังต่อไปนี้เกี่ยวกับทหารอาสาญี่ปุ่น
1.1       ทหารอาสาญี่ปุ่น
อาสาญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาททางการเมืองตั้งแต่ช่วงสมัยของสมเด็จพระนเรศวร และสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถแต่ยังอยู่ในช่วงต้นเท่านั้น ต่อเมื่อหลังจากที่พระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระพระศรีเสาวภาคกับพระศรีศิลป์ซึ่งเป็นพระราชบุตรของพระเอกาทศรถกับพระสนมเอก และพระศรีศิลป์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าทรงธรรม” และภายหลังพระองค์ได้ทำการกำจัดขุนนางที่จงรักภักดีต่อกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งนั่นก็มี “ออกญากรมนายไว” ซึ่งเป็นนายของบรรดาทหารญี่ปุ่น[2] ที่มีประมาณ 280 คน ทำให้ทหารญี่ปุ่นบุกเข้าวัง เพื่อจับต้นเหตุคนที่ทำให้ออกญากรมนายไวตาย ซึ่งเป็นขุนนาง 4 คน แต่ตอนหลังตกลงกันได้และอนุญาตให้ทหารญี่ปุ่นออกจากวังได้ด้วยการนำตัวพระสงค์สามสี่รูปไปเป็นประกันในการเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาไปเพชรบุรี และทหารญี่ปุ่นได้ยึดเมืองเพชรบุรีไว้ กรุงศรีอยุธยาจึงยกทัพมาปราบขับไล่ชาวญี่ปุ่น[3] ต่อมาพระเจ้าทรงธรรมจึงได้อนุญาตให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งหลักแหล่งที่กรุงศรีอยุธยาได้อีกครั้ง อาจเนื่องมาจากว่าการที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เพราะมีทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งได้มีส่วนช่วยให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ ซึ่งในจำนวนนี้มี “ออกญาเสนาภิมุข” มีตำแหน่งเป็น “เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น” แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของชาวญี่ปุ่นเข้าครอบงำการเมืองการปกครองอยุธยาอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากบทบาทของ ยามาดะ นางะมาซะ อันจะกล่าวเป็นลำดับต่อไป
2.1 บทบาทยามาดะ นางะมะซะ
         ชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทและเป็นที่รู้จักกันดีคือ ยามาดะ นางะมะซะ หรือ “ออกญาเสนาภิมุข” เกิดเมื่อปี พ.. 2120  ตามหลักฐานกล่าวว่าเขาเดินทางมาถึงสยามในปี พ.. 2155 และได้ทำความดีความชอบแก่สยาม จนได้รับพระราชทานบันดาศักดิ์ออกญาเสนาภิมุขในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
ยามาดะมีส่วนในแผนชิงบัลลังก์ให้พระเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นโอรถที่พระเจ้าทรงธรรมแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบบัลลังก์ แต่พระศรีศิลป์เป็นโอรถโดยชอบธรรมที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าทรงธรรม เนื่องจากว่ายามาดะได้เล็งเห็นว่า ออกญาศรีวรวงศ์กำลังสร้างอำนาจ ซึ่งจะมีผลต่อดุลอำนาจในอยุธยา จึงได้เข้าเป็นพวกเดียวกับออกญาศรีวรวงศ์ ที่สนับสนุนให้พระเชษฐาเป็นกษัตริย์ และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จเมื่อ ยามาดะนำกำลังทหารญี่ปุ่น 600 นายเข้ามาเตรียมพร้อมในราชวังหลวง และออกญาศรีวรวงศ์ได้เลื่อนเป็น ออกญากลาโหม
           หลังเหตุการณ์นี้ยามาดะได้รับคำสั่งให้กำจัด พระศรีศิลป์ที่ทรงหนีไปผนวชที่เพชรบุรี ด้วยการหลอกให้เสด็จมาที่อยุธยาด้วยแบบฆราวาส แต่ไม่ประสบความสำเร็จพระศรีศิลป์ทรงรอดพ้นจากอันตรายนี้จากการได้รับความช่วยเหลือจากผู้จงรักภักดี พระองค์กลับไปตั้งตนเป็นใหญ่ที่เพชรบุรี และยามาดะก็ได้ตามลงไปปราบอีก ท้ายที่สุดจึงถูกสำเร็จโทษ
             เมื่อพระศรีศิลป์สวรรคต ออกญากลาโหมได้กำจัดพระเชษฐากษัตริย์อยุธยา แล้วตั้งพระอาทิตย์วงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน พระชนมายุเพียง 10 พรรษาเท่านั้น ทำให้อำนาจของออกญากลาโหมมากขึ้น และได้ขัดผลประโยชน์กับยามาดะเข้า  และเริ่มไม่มีความไว้ใจกันจนในที่สุด ออกญากลาโหมได้สั่งให้ ยามาดะไปเป็นเจ้าเมืองที่นครศรีธรรมราช จุดประสงค์เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามให้ออกห่างจากราชสำนักที่อยุธยาเสีย และสุดท้ายก็ถูกลอบกำจัด โดยคำสั่งของออกญากลาโหมหลังจากกำจัดพระเจ้าอาทิตย์วงศ์ และได้สถาปนาขึ้นเป็น “พระเจ้าปราสาททอง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ปราสาททอง แห่งอยุธยาได้สำเร็จ
บทบาทของยามาดะดังกล่าวทำให้เห็นว่าชาวญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองมาก เพราะมีฐานอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจทางทหารที่ยามาดะสั่งสมมาทำให้เขาสามารถมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ได้ในอยุธยา และยังมีตำแหน่งขุนนางรองรับ นั่นหมายความว่า ยามาดะเป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่ในระดับหนึ่งเพราะได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์และขุนนางระดับสูงในอยุธยาเป็นอย่างมาก และด้วยอิทธิพลของยามาดะทำให้เกรงว่าจะก่อการไดๆขึ้น เมื่อออกญากลาโหมขึ้นครองราชย์จึงได้สั่งย้ายไปปกครองเมืองนครศรีธรรมราชที่อยู่ห่างจากกรุงศรีอยุธยา เพราะสาเหตุสำคัญที่สุดคือ การแสดงความคิดเห็นต่อการสถาปนากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาของยามาดะเอง นั่นคือเขาได้เคยพูดกับออกญาศรีวรวงศ์ไว้ว่า จะไม่ยกย่องขุนนางผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งเป็นกษัตริย์อย่างแน่นอนถ้าพระโอรถของกษัตริย์ยังมีพระชนชีพอยู่ นั่นทำให้พระเจ้าปราสาททองไม่สามารถไว้วางใจยามาดะได้อีกต่อไป เมื่อเขาซึ่งเป็นขุนนางได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอยุธยา

2.              บทบาททางการค้าของชาวญี่ปุ่น
                 ญี่ปุ่นกับอยุธยามีการติดต่อการค้าขายมานานทางเรือสำเภา ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ที่อยุธยาจะนับถือศาสนาคริสต์ ตามคำให้การของบาทหลวง แอนโทนีโอ คาร์ทูมที่กล่าวว่าเคยประกอบพิธีศิลมหาสนิทแก่คริสต์เตียนชาวญี่ปุ่นกว่า 400 คน ในอยุธยาเมื่อ พ.. 2170[1] และสันนิฐานว่าหมู่บ้านญี่ปุ่นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในปี พ.. 2159 [2] เหตุเพราะเป็นช่วงที่การค้าขายระหว่างสองอาณาจักรมีความรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก และสินค้าส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นนำเข้าจากอยุธยาคือ ไม้ฝาง ไม้กฤษณา และหนังกวางในปริมาณที่สูง จึงจำเป็นต้องมีผู้ที่ชำนาญในการจัดเตรียมสินค้าดังกล่าว สอดคล้องกับเอกสารของบริษัทอิสอินเดียตะวันออกของฮอลันดาที่ระบุไว้ว่า ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้จัดการสินค้า โดยเฉพาะหนังกวางที่ต้องการผู้ที่มีความชำนาญในการล่าและถนอมให้สามารถอยู่ได้คงทนที่สุด ดังนั้นการขยายตัวของชุมชนญี่ปุ่นจึงน่าจะมาจากการขยายตัวทางการค้าระหว่างสองอาณาจักรประกอบกับบทบาททางการค้าของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยา[3]
             นอกจากนั้นแล้วชาวญี่ปุ่นในอยุธยายังดำเนินการค้าเองด้วยการผูกขาดสินค้า และการค้าสำเภา ที่ชาวญี่ปุ่นในอยุธยาสามารถเดินทางไปค้าขายกับญี่ปุ่นได้ด้วยการได้รับใบเบิกร่องประทับตราแดง โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกใบเบิกร่อง 3 ใบให้แก่ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในแดนสยาม ซื่อโยเอมอง ทั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือจากชาวญี่ปุ่นด้วยกันชื่อ อาริมะ ฮารุโนบุ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นได้สนับสนุนให้มีการค้าขายกับประเทศทางใต้ คือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยาขณะนั้นมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงดึงระดับที่ขอใบเบิกร่อง เพื่อเดินทางติดต่อค้าขายกับประเทศญี่ปุ่นได้ และยังเป็นการสร้างฐานะความสัมพันธ์ระหว่างกันอีกด้วย นั่นทำให้เห็นว่าชาวญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักอยุธยา เพราะพวกเขามีสิทธิ์ที่จะค้าขายโดยตรงกับญี่ปุ่นโดยใช้อำนาจและอิทธิพลของ ชาวญี่ปุ่นเองเช่น ยามาดะ ใน จดหมายเหตุเรื่องทางพระราชไมตรีกรุงศรีอยุธยากับกรุงญี่ปุ่น ปรากฏว่ายามาดะ เป็นผู้หนึ่งที่ส่งหนังสือถึงเจ้าเมืองญี่ปุ่นและขอร้องให้ออกใบเบิกร่องประทับตราแดงให้ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยา และชาวต่างชาติด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่านอกจากชาวญี่ปุ่นจะมีอิทธิพลทางการเมืองแล้ว ยังมีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจการค้าของอยุธยาด้วยนั่นเอง

             ดังนั้นโดยศึกษาโครงสร้างความสัมพันธ์ของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยากับราชสำนักอยุธยา  ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในอยุธยานั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชสำนักอยุธยาประการแรกความสัมพันธ์ทางการเมือง เมื่อชาวญี่ปุ่นในอยุธยามีอิทธิพลอำนาจในทางการเมืองของอยุธยา โดยเริ่มจากการเข้ามาเป็นทหารอาสาในอยุธยาจนสามารถสร้างความดีความชอบให้แก่ราชสำนัก จนชาวญี่ปุ่นหลายคนเป็นที่ไว้วางใจ คือออกญาเสนาภิมุข หรือที่รู้จักกันดีว่า ยามาดะ เนื่องจากมีความจงรักภักดีและมีความเก่งกล้าสามารถ และตอนหลังได้มีอิทธิพลทางการเมืองของอยุธยา เช่น การมีส่วนช่วยกษัตริย์ในการสืบบัลลังก์อยุธยา และยังมีเครือข่ายอำนาจอยู่ในระบบขุนนางของอยุธยาอยู่พักหนึ่งก่อนจะถูก กำจัดเนื่องจากเกรงว่าอำนาจของทหารญี่ปุ่นที่มีมากเกินไปจะไม่ปลอดภัยต่อราชสำนักในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง
ประการที่สุดท้ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอยู่ที่อยุธยาส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ และส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย กับเป็นทหารรับจ้าง ชาวญี่ปุ่นจะมีบทบาทในทางเศรษฐกิจคือการจัดหาและดูแล สินค้าที่จะส่งไปญี่ปุ่นให้กับชาวต่างชาติด้วย และทำการค้าของชาวญี่ปุ่นไปด้วย และมีสายสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักอยุธยา และการสนับสนุนการค้าของญี่ปุ่น ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีฐานอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงมากในสมัยนั้น
       ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจเหล่านี้ทำให้ชาวญี่ปุ่นกลายเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่อาจถูกจับตามองจากขั้วอำนาจตรงข้ามเพราะเกรงจะมีอิทธิพลมากจนเกินไป ประกอบกับความจงรักภักดีต่อเจ้านายของชาวญี่ปุ่นทำให้เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินของกษัตริย์อยุธยา หมู่บ้านญี่ปุ่นถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เหลือเพียงไม่กี่ครอบครัว และหลังจากนั้นหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นก็เป็นอันต้องร้างไปในที่สุด เมื่อสามารถกำจัดผู้นำ ออกญาเสนาภิมุขได้สำเร็จในสมัยพระเจ้าปราสาททอง









[1]ศิริเพ็ญ วรปัจสุ. การศึกษาความสัมพันธ์ไทยและญี่ปุ่นสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จากหลักฐานทางโบราณคดี. การค้นคว้าอิสระ สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี  มหาวิทยาลัยศิลปากร,2553. หน้า 3.
[2] เรื่องเดียวกัน. หน้า 13.
[3] เรื่องเดียวกัน.





[1] มานะจิต หะยีดิน. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา. วิทยานิพนธ์ ปริญญาศิลปะศาสตร์บัณฑิต (โบราณคดี)  มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2518. หน้า 58.
[2] เรื่องเดียวกัน. หน้า 67.
[3] เรื่องเดียวกัน.



ถนน "เจริญกรุง"ถนนแบบตะวันตกสายแรกของประเทศไทย

    ถนนสายใหม่ สายแรกในประเทศไทย           แรกเริ่มเดิมทีไทยไม่มีการตัดถนนแบบ เรียบๆแบนๆ ดูมีแบบแผน เราใช้ถนนที่เรียกว่า "ทางเกวียน ...