บันทึกการอ่าน
ชื่อหนังสือ ผู้บัญชาการชาวพุทธความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา
ประวัติผู้เขียนและที่มาของหนังสือ
ผู้เขียนคือ ผู้บัญชาการนากามูระ
เกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2432 ที่ชนบทในจังหวัดไอจิ แถบเมืองนาโกยา
สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ยศเป็นนายร้อยตรีเมื่อ พ.ศ. 2453 ต่อมาปี พ.ศ. 2465
สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกและได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี
เมื่อเดินทางกลับมาประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
ต่อมาเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 24 ในเขตแมนจูเรีย
และเข้าประจำกระทรวงกลาโหมในตำแหน่งอธิบดีกรมกิจการทหาร และกรมธุรการทหารตามลำดับ
ในปลายปี พ.ศ. 2483 มีภารกิจสำคัญคือ
เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 5
บุกเข้าไปในตอนเหนือของอินโดจีน-ฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2484 เป็นผู้บัญชาการกองพลประจำนาโกยาที่บ้านเกิด
และในปีเดียวกันได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกรมสารวัตรทหาร
อันเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้ามาเป็นผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทยในเดือนมกราคม
พ.ศ. 2486 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
บันทึกนายพลนากามูระ
ชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ผู้บัญชาการชาวพุทธ
ความทรงจำของนายพลนากามูระ เกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา” พิมพ์ครั้งที่ 3 บันทึกนี้นายพลพยายามเขียนขึ้นก่อนที่จะมาเยือนเมืองไทยแต่ไม่สำเร็จ
แต่หลังจากที่นายพลได้กลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้งจึงแล้วสำเร็จได้ ชื่อหนังสือ
เนื่องจากว่า นายพลได้กล่าวกับนายกฯโตโจ ว่าจะไปเมืองไทยเหมือนกับเป็น “พระโพธิสัตว์” ฉะนั้นบรรณาธิการหนังสือจึงขอตั้งชื่อว่า “ผู้บัญชาการชาวพุทธ”
เนื้อหา
เนื่องจากเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดต่อเหตุการณ์และบุคคลต่างๆที่ผ่านประสบการณ์ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา
ทำให้หนังสือเล่มนี้มีลักษณะที่อ่านแล้วเห็นถึงอารมณ์ของผู้เขียนบันทึก
นั่นคือนายพลนากามูระ เป็นช่วงๆที่อาจจะกระทบจิตใจของนายพลนากามูระอยู่พอสมควร จึงทำให้เนื้อหาของบันทึกอาจจะไม่ได้ถูกเรียบเรียงเขียนให้อ่านได้ประติดประต่อกันมากนักเหมือนหนังสือที่ถูกแต่งขึ้นผ่านการเรียบเรียงมาอย่างดีแล้ว
แต่หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจและสามารถอ่านเพื่อความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ต้องอาศัยการจัดลำดับเหตุการณ์
การวิเคราะห์
อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เห็นในประเด็นสำคัญความสัมพันธ์ต่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น
ในทางการทูต ของนายพลนากามูระที่เขียนบันทึกลงไปในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะพันธมิตรฝ่ายอักษะกับญี่ปุ่น นับตั้งแต่มีการลงนามข้อตกลงกติกาสัมพันธไมตรีไทย-ญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2484
1. แนวคิดและวิธีการดำเนินการทูตของนายพลนากามูระ
การมาเมืองไทยเพื่อมารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยของนายพลนากามูระ
ในปี พ.ศ. 2486 หลังกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาประจำการในเมืองไทยผ่านไปแล้วเป็นเวลาประมาณ
2 ปี
ซึ่งสถานการณ์ในเมืองไทยขณะนั้นกำลังเกิดปัญหาความยุ่งยาก
อันเนื่องมาจากปัญหาต่างๆและสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศไทย
ดังต่อไปนี้คือ
ประการแรก ปัญหาหนี้สินของกองทัพญี่ปุ่นกับประเทศไทยหลังกองทัพบุกพม่าอย่างรวดเร็วจนทิ้งหนี้สินค้างไว้มากพอสมควรทำให้ฝ่ายไทยไม่ค่อยพอใจนัก
ประการที่สอง ปัญหาทรัพย์สินของอังกฤษที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าทรัพย์สินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของญี่ปุ่นหรือของไทยหรือฝ่ายไดจะได้ใช้บ้างซึ่งยังไม่มีการตกลงกันอย่างแน่นอน
ประการที่สาม ปัญหาความรุนแรงคือเหตุการณ์ที่บ้านโป่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ความรู้สึกไม่ดีต่อทหารญี่ปุ่น
ของคนไทยเป็นอย่างมาก
ประการที่สี่ ปัญหาเรื่องความแตกต่างทางขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญที่สุดคือการตบหน้าและตบหัว
ซึ่งเป็นปัญหาความไม่เข้าใจกันของทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายญี่ปุ่นถือว่าการตบหน้า ตบหัวถือเป็นเรื่องปกติ
แต่คนไทยถือเป็นการทำให้เสียเกียรติอย่างรุนแรง
ประการสุดท้าย ปัญหาการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ทหารไทย คือหลังจากทำพันธมิตรไทย-ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว
ฝ่ายไทยได้เรียกร้องอาวุธยุทโธปกรณ์และสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันจากฝ่ายญี่ปุ่น แต่ไม่เป็นผล
ทำให้กองทัพไทยมีความผิดหวังเป็นอย่างมาก ทำให้ความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นหน้าเป็นห่วงอยู่ตลอดมา
จากสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยุ่งยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นและติดค้างมานานจากการเข้ามาประจำการของทหารญี่ปุ่น
หลังเหตุการณ์บ้านโป่งในปี พ.ศ. 2485 นายพลนากามูระเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพฯ
ในปี พ.ศ. 2486
การมารับตำแหน่งในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจพิเศษสำหรับญี่ปุ่น
เพราะญี่ปุ่นมีความประสงค์จะฟื้นฟูและรักษาสัมพันธไมตรีกับไทยต่อไปให้ตลอดสงครามทั้งในระดับรัฐบาลและในระดับประชาชน
เห็นได้จากการที่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้ทรงมีความสนใจเป็นพิเศษต่อภารกิจในครั้งนี้
ดังนั้นการเลือกนายพลนากามูระเข้ามาเป็นผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นฯ
จึงมีความหมายอย่างยิ่ง ที่จะสามารถปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยลักษณะเฉพาะของนายพลนากามูระที่ถูกมองว่าเป็นนายทหารระดับสูงที่มีประสบการณ์และมีความเป็นกลางอยู่ในระดับหนึ่ง
ฉะนั้นการส่งมาปฏิบัติภารกิจในเมืองไทยจึงเป็นตำแหน่งที่ทางญี่ปุ่นคิดแล้วว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ประกอบกับเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด
และเมืองไทยเป็นเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมากเช่นกัน
1.1 ระดับประชาชน
การมารับตำแหน่งของนายพลนากามูระ
ถือเป็นหน้าที่ภารกิจที่ต้องช่วยประสานความสัมพันธ์กับไทยคือ นายพลนากามูระต้องผสานความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลกับระดับประชาชนดังที่กล่าวไปแล้ว
ในขั้นแรกคือการแก้ปัญหาความเข้าในทางวัฒนธรรมของทหารญี่ปุ่นต่อวัฒนธรรมไทย
เพราะการเข้าใจถึงวัฒนธรรมของอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งที่ดี ด้วยการทำหนังสือคู่มือแจกจ่ายให้ทหารญี่ปุ่นที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
ให้เข้าใจวัฒนธรรมไทย เพื่อจะได้ไม่กระทำผิดอีกครั้งอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าต่อกัน
ความพยายามในการผ่อนหนักให้เป็นเบาของนายพลนากามูระ
เพราะความเข้าใจในระดับประชาชนกับทหารจะส่งผลดีต่อความเข้าใจในระดับรัฐบาลต่อไป
ซึ่งทั้งสองจะช่วยหนุนให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้
นายพลนากามูระได้พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของคนไทยที่ต้องเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นในครั้งนี้
เพราะเขาได้ตระหนักรู้ว่าการเข้าร่วมสงครามของประเทศไทยนั้นแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน
แต่ประเทศไทยนั้นไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนให้เข้าร่วมสงคราม
เพราะเมื่อเครื่องบินบินมาทิ้งระเบิดที่กรุงเทพฯสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของประชาชน
อันดับแรกที่นายพลนากามูระคำนึงคือการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้วยการเสนอต่อกองทัพใหญ่ให้ช่วยบริจาคเงินให้ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย
แต่กลับไม่ได้รับความเห็นชอบด้วยแต่ประการใด
ยิ่งทำให้เห็นว่านายพลนากามูระมีความเป็นห่วงต่อเรื่องนี้มาก
แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพใหญ่
ถ้าให้ความช่วยเหลือไปอาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างเรื่อยๆไป
เพราะด้วยแนวคิดในการปฏิบัติงานของนายพลนั้นได้ยึดมั่นในแนวทางสันติ
ในการแก้ปัญหา ด้วยการพิจารณาให้รอบครอบก่อนตัดสินใจสิ่งใดลงไป
และต้องไม่เป็นการชักช้าเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้วต้องปฏิบัติการให้เด็ดขาดและรวดเร็ว
แนวทางนี้นายพลนากามูระได้ปฏิบัติการเชิงการทูตในระดับรัฐบาลที่ยิ่งต้องอาศัยความรอบครอบให้มากกว่าเดิมขึ้นไปอีกเท่า
เพราะการแก้ปัญหาทุกอย่างจะดีที่สุดต้องเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับสูงก่อนเสมอถึงจะได้ผลลงไปในระดับประชาชน
2.2 ระดับผู้นำในคณะรัฐบาล
ในการพบปะกับผู้นำระดับสูงของไทย
นายพลนากามูระมีความระเอียดรอบครอบอย่างยิ่งต่อการแสดงท่าที
โดยนายพลนากามูระจะสังเกตลักษณะผู้นำฝ่ายไทยเสมอ
เพราะการรู้จักลักษณะบุกคลิกเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ขาดไม่ได้ การเข้าพบจอมพล
ป พิบูลสงครามในครั้งแรกนั้น ไม่เป็นไปอย่างที่คาดการเพราะจอมพล ป พิบูลสงคราม
ไม่อยู่จึงให้หลวงพรมหมโยธี เป็นผู้จัดงานเลี้ยงรับรองแทน
ในครั้งนี้นายพลนากามูระไม่ลืมที่จะแสดงจุดยืน
และท่าทีที่ชัดเจนต่อฝ่ายไทยของฝ่ายญี่ปุ่น
โดยการกล่าวสุนทรพจน์ที่บอกชัดเจนว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะปฏิบัติต่อไทยด้วยการคำนึงถึงหลักสัมพันธ์มิตร
และเอกราชของไทยเป็นสำคัญ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อฝ่ายไทยได้
ด้วยแนวคิดและหลักปฏิบัติที่ได้แสดงออกไปให้ฝ่ายไทยได้รับรู้ อย่างมั่นใจ
เมื่อได้พบจอมพล ป พิบูลสงคราม
ผู้นำสูงสุดของไทยในยุคนั้น
นายพลนากามูระก็ไม่ลืมที่จะสังเกตและไตร่ตรองถึงบุคลิกลักษณะของจอมพล ป
พิบูลสงครามทันที ซึ่งไม่เพียงแต่เท่านี้แต่ยังรวมถึงคณะรัฐบาล
และผู้สำเร็จราชกาลในเมืองไทยทุกคน
อันแสดงให้เห็นว่านายพลนากามูระมีความใส่ใจเป็นอย่างยิ่งที่จะศึกษาความเป็นไปของคณะรัฐบาลฝ่ายไทยทุกคน
รวมถึงคนรอบข้างด้วย ตามหลักความรอบครอบในการทำหน้าที่ตรงส่วนนี้
การแสดงท่าทีสนิมสนมกับฝ่ายรัฐบาลทั้งรัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม ถึงรัฐบาลนายควง
อภัยวงศ์
ทำให้นายพลนากามูระได้รับรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆผ่านการรายงานของพวกเขาเป็นอันดับแรก
และเป็นการแสดงท่าทีความเป็นมิตรอันจะทำให้การปฏิบัติงานและความสัมพันธ์ต่างๆดูราบรื่นขึ้นมาก
และด้วยลักษณะความเป็นผู้บัญชาการที่นับถือศาสนาพุทธที่ค่อนข้างเคร่งครัด
และการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักสำคัญตลอดเวลา เพราะประเทศไทยถือเป็นฐานทัพสำคัญมากของกองทัพญี่ปุ่นที่จะใช้เป็นฐานปฏิบัติการส่งกำลังบำรุงให้กับกองทัพที่ทำการสู่รบในแนวหน้าได้อย่างมีปัญหาน้อยที่สุด
การดำเนินการในขั้นนี้คือการเข้าพบผู้นำฝ่ายไทยบ่อยครั้ง
และร่วมหารือหรือการแสดงความเคารพและให้เกียรติต่อฝ่ายไทยเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมรับประทานอาหารที่บ้านพักของจอมพล
ป พิบูลสงคราม การไปเยี่ยมจอมพล ป พิบูลสงคราม ที่ลพบุรีหลังลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การจัดงานพบปะทุกๆครั้งเมื่อถึงกำหนดกับรัฐบาลใหม่ นายควง อภัยวงศ์
และเอกอัครราชทูตยามาโมโต้
เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
การมาเยือนไทยของนายยกรัฐมนตรีญี่ปุ่นโตโจ
ฮิเดกิ ถือเป็นการมาที่แม้กระทั่งนายพลนากามูระเองนั้นก็ไม่ทราบว่ามาด้วยเหตุผลอันใด
ทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการหารือกันระหว่างนายพลนากามูระกับนายกโตโจแล้วหลังมาถึงเมืองไทย
คือต้องการยกดินแดน 4 รัฐมลายูกับ 2
รัฐฉานให้ไทย
ก่อนการเปิดประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาที่กรุงโตเกียว การที่นายยกโตโจ
ฮิเดกิมาเยือนไทยด้วยตัวเองนั้นอาจเป็นเพราะต้องการให้จอมพล ป
พิบูลสงครามไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาด้วย
ถือเป็นธรรมเนียมการทูตที่ผู้นำประเทศหนึ่งมาเยือนผู้นำอีกประเทศหนึ่ง และต่อไปผู้นำประเทศนั้นต้องไปเยือนตามธรรมเนียม
แต่จอมพล ป พิบูลสงครามกลับละเลยธรรมเนียมการทูตนี้ไป โดยส่งผู้ตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมแทน
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้นายทหารญี่ปุ่นผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เชิญจอมพล ป
พิบูลสงครามไปร่วมประชุมต้องเกิดความเครียด เพราะไม่สามารถเชิญจอมพล ป
พิบูลสงครามไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาได้ ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งหน้าที่
เหตุการณ์นี้เป็นปัญหาหนึ่งที่ทั้งสองประเทศไม่สามารถตกลงหรือให้ความกระจ่างได้ด้วยเพราะเหตุใดแต่เรื่องนี้อยู่ในสายตาของนายพลนากามูระ
ตลอดเพราะเขาได้เข้าไปช่วยเจรจากับจอมพล ป พิบูลสงคราม แต่ไม่เป็นผล
สุดแล้วแต่การตัดสินใจของจอมพล ป พิบูลสงคราม ที่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ตามทัศนของนายพลนากามูระว่าอาจเป็นเพราะเสรีไทยก็เป็นได้
การปฏิบัติการภายใต้แรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงที่สงครามเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นเริ่มเสียเปรียบ
ประกอบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศไทย แม้กระทั่งเรื่องการผลัดเปลี่ยนผู้นำไทย
เป็นนายควง อภัยวงศ์ นายพลนากามูระก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เกิดปัญหาวุ่นวาย
และต้องการรัฐบาลที่ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นต่อไปเท่านั้น ภายหลังนายพลนากามูระได้รับแรงกดดันจากกองทัพใหญ่ให้ใช้ทหารเข้าปฏิบัติการกับประเทศไทยเช่นเดียวกับที่อินโดจีน
เพราะข่าวสารจากฝ่ายญี่ปุ่นรั่วไหลไปสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร
อันมีต้นเหตุมาจากขบวนการเสรีไทยที่เข้ามาปฏิบัติการในเมืองไทยมากขึ้น
แต่การใช้ทหารเข้าจัดการกับประเทศไทยกลับไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่สมควรนัก
นายพลนากามูระได้พยายามใช้วิธีประนีประนอม
และยังคงประกาศจุดยืนชัดเจนในเจตนารมในการปฏิบัติภารกิจโดยคำนึงถึงหลักสันติวิธีและหลักสัมพันธไมตรีไทยและญี่ปุ่นเป็นหลักอยู่เสมอ
แต่ก็ได้ใช้วิธีการข่มขู่เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยคิดอะไรที่จะเป็นการบีบบังคับให้ฝ่ายญี่ปุ่นต้องใช้กำลังทหาร
แต่เมื่อถึงเวลาที่สุดแล้วก่อนสงครามจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของประเทศญี่ปุ่น
นายพลนากามูระได้เกือบตัดสินใจนำทหารเข้าจัดการปลดอาวุธทหารไทย
การดำเนินการปฏิบัติภารกิจพิเศษในฐานะการเชื่อมสัมพันธไมตรีไทยและญี่ปุ่นของนายพลนากามูระได้จบลงด้วยดี
โดยที่ไม่มีฝ่ายไดละเมิดกติกาสัมพันธมิตรจวบจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง อันแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปฏิบัติภารกิจภายใต้แรงกดดันอย่างยิ่งของนายพลนากามูระเกี่ยวกับการตัดสินใจ
ที่ต้องรอบครอบ ผ่านการไตร่ตรองแล้วอย่างดี
และการสังเกตหาความรู้เกี่ยวกับเมืองไทย
ในความพยายามที่จะติดต่อสัมพันธ์กับผู้นำฝ่ายไทยได้อย่างใกล้ชิดสนิทสนมให้มากที่สุดเพื่อเป็นการรู้เขารู้เรา
อันเป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติมาเป็นอันดับหนึ่ง
ประกอบกับความอดทนอดกลั้น
และด้วยบุคลิกส่วนตัวของนายพลนากามูระที่เป็นคนสุขขุมรอบครอบ จึงทำให้การปฏิบัติภารกิจผ่านไปได้ด้วยการไม่ใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับปัญหา