วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีการทูตนายพลนากามูระ อาเคโตะ

บันทึกการอ่าน

ชื่อหนังสือ  ผู้บัญชาการชาวพุทธความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา


ประวัติผู้เขียนและที่มาของหนังสือ
ผู้เขียนคือ ผู้บัญชาการนากามูระ เกิดเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2432 ที่ชนบทในจังหวัดไอจิ แถบเมืองนาโกยา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ยศเป็นนายร้อยตรีเมื่อ พ.ศ. 2453 ต่อมาปี พ.ศ. 2465 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกและได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี เมื่อเดินทางกลับมาประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ต่อมาเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 24 ในเขตแมนจูเรีย และเข้าประจำกระทรวงกลาโหมในตำแหน่งอธิบดีกรมกิจการทหาร และกรมธุรการทหารตามลำดับ ในปลายปี พ.ศ. 2483 มีภารกิจสำคัญคือ เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 5 บุกเข้าไปในตอนเหนือของอินโดจีน-ฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. 2484 เป็นผู้บัญชาการกองพลประจำนาโกยาที่บ้านเกิด และในปีเดียวกันได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกรมสารวัตรทหาร อันเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้ามาเป็นผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2486 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
บันทึกนายพลนากามูระ ชื่อเป็นภาษาไทยว่า ผู้บัญชาการชาวพุทธ ความทรงจำของนายพลนากามูระ เกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาพิมพ์ครั้งที่ 3 บันทึกนี้นายพลพยายามเขียนขึ้นก่อนที่จะมาเยือนเมืองไทยแต่ไม่สำเร็จ แต่หลังจากที่นายพลได้กลับมาเยือนเมืองไทยอีกครั้งจึงแล้วสำเร็จได้ ชื่อหนังสือ เนื่องจากว่า นายพลได้กล่าวกับนายกฯโตโจ ว่าจะไปเมืองไทยเหมือนกับเป็น พระโพธิสัตว์ฉะนั้นบรรณาธิการหนังสือจึงขอตั้งชื่อว่า  ผู้บัญชาการชาวพุทธ


เนื้อหา
เนื่องจากเป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นตามความรู้สึกนึกคิดต่อเหตุการณ์และบุคคลต่างๆที่ผ่านประสบการณ์ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ทำให้หนังสือเล่มนี้มีลักษณะที่อ่านแล้วเห็นถึงอารมณ์ของผู้เขียนบันทึก นั่นคือนายพลนากามูระ เป็นช่วงๆที่อาจจะกระทบจิตใจของนายพลนากามูระอยู่พอสมควร จึงทำให้เนื้อหาของบันทึกอาจจะไม่ได้ถูกเรียบเรียงเขียนให้อ่านได้ประติดประต่อกันมากนักเหมือนหนังสือที่ถูกแต่งขึ้นผ่านการเรียบเรียงมาอย่างดีแล้ว แต่หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจและสามารถอ่านเพื่อความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ต้องอาศัยการจัดลำดับเหตุการณ์ การวิเคราะห์ อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เห็นในประเด็นสำคัญความสัมพันธ์ต่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น ในทางการทูต ของนายพลนากามูระที่เขียนบันทึกลงไปในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะพันธมิตรฝ่ายอักษะกับญี่ปุ่น นับตั้งแต่มีการลงนามข้อตกลงกติกาสัมพันธไมตรีไทย-ญี่ปุ่น ในปี พ.. 2484  
1. แนวคิดและวิธีการดำเนินการทูตของนายพลนากามูระ
การมาเมืองไทยเพื่อมารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยของนายพลนากามูระ ในปี พ.. 2486 หลังกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาประจำการในเมืองไทยผ่านไปแล้วเป็นเวลาประมาณ ปี ซึ่งสถานการณ์ในเมืองไทยขณะนั้นกำลังเกิดปัญหาความยุ่งยาก อันเนื่องมาจากปัญหาต่างๆและสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศไทย ดังต่อไปนี้คือ 
ประการแรก ปัญหาหนี้สินของกองทัพญี่ปุ่นกับประเทศไทยหลังกองทัพบุกพม่าอย่างรวดเร็วจนทิ้งหนี้สินค้างไว้มากพอสมควรทำให้ฝ่ายไทยไม่ค่อยพอใจนัก
 ประการที่สอง ปัญหาทรัพย์สินของอังกฤษที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าทรัพย์สินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของญี่ปุ่นหรือของไทยหรือฝ่ายไดจะได้ใช้บ้างซึ่งยังไม่มีการตกลงกันอย่างแน่นอน   
ประการที่สาม ปัญหาความรุนแรงคือเหตุการณ์ที่บ้านโป่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ความรู้สึกไม่ดีต่อทหารญี่ปุ่น ของคนไทยเป็นอย่างมาก
ประการที่สี่ ปัญหาเรื่องความแตกต่างทางขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญที่สุดคือการตบหน้าและตบหัว ซึ่งเป็นปัญหาความไม่เข้าใจกันของทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายญี่ปุ่นถือว่าการตบหน้า ตบหัวถือเป็นเรื่องปกติ แต่คนไทยถือเป็นการทำให้เสียเกียรติอย่างรุนแรง
ประการสุดท้าย ปัญหาการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ทหารไทย คือหลังจากทำพันธมิตรไทย-ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว ฝ่ายไทยได้เรียกร้องอาวุธยุทโธปกรณ์และสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันจากฝ่ายญี่ปุ่น แต่ไม่เป็นผล ทำให้กองทัพไทยมีความผิดหวังเป็นอย่างมาก ทำให้ความสัมพันธ์ไทยญี่ปุ่นหน้าเป็นห่วงอยู่ตลอดมา
จากสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยุ่งยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นและติดค้างมานานจากการเข้ามาประจำการของทหารญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์บ้านโป่งในปี พ.. 2485 นายพลนากามูระเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพฯ ในปี พ.. 2486
การมารับตำแหน่งในครั้งนี้ถือเป็นภารกิจพิเศษสำหรับญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นมีความประสงค์จะฟื้นฟูและรักษาสัมพันธไมตรีกับไทยต่อไปให้ตลอดสงครามทั้งในระดับรัฐบาลและในระดับประชาชน เห็นได้จากการที่สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้ทรงมีความสนใจเป็นพิเศษต่อภารกิจในครั้งนี้ ดังนั้นการเลือกนายพลนากามูระเข้ามาเป็นผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นฯ จึงมีความหมายอย่างยิ่ง ที่จะสามารถปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยลักษณะเฉพาะของนายพลนากามูระที่ถูกมองว่าเป็นนายทหารระดับสูงที่มีประสบการณ์และมีความเป็นกลางอยู่ในระดับหนึ่ง ฉะนั้นการส่งมาปฏิบัติภารกิจในเมืองไทยจึงเป็นตำแหน่งที่ทางญี่ปุ่นคิดแล้วว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด และเมืองไทยเป็นเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นจำนวนมากเช่นกัน
1.1 ระดับประชาชน
การมารับตำแหน่งของนายพลนากามูระ ถือเป็นหน้าที่ภารกิจที่ต้องช่วยประสานความสัมพันธ์กับไทยคือ นายพลนากามูระต้องผสานความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลกับระดับประชาชนดังที่กล่าวไปแล้ว ในขั้นแรกคือการแก้ปัญหาความเข้าในทางวัฒนธรรมของทหารญี่ปุ่นต่อวัฒนธรรมไทย เพราะการเข้าใจถึงวัฒนธรรมของอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งที่ดี ด้วยการทำหนังสือคู่มือแจกจ่ายให้ทหารญี่ปุ่นที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ให้เข้าใจวัฒนธรรมไทย เพื่อจะได้ไม่กระทำผิดอีกครั้งอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าต่อกัน ความพยายามในการผ่อนหนักให้เป็นเบาของนายพลนากามูระ เพราะความเข้าใจในระดับประชาชนกับทหารจะส่งผลดีต่อความเข้าใจในระดับรัฐบาลต่อไป ซึ่งทั้งสองจะช่วยหนุนให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้
นายพลนากามูระได้พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของคนไทยที่ต้องเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นในครั้งนี้ เพราะเขาได้ตระหนักรู้ว่าการเข้าร่วมสงครามของประเทศไทยนั้นแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน แต่ประเทศไทยนั้นไม่ใช่ทุกคนที่สนับสนุนให้เข้าร่วมสงคราม เพราะเมื่อเครื่องบินบินมาทิ้งระเบิดที่กรุงเทพฯสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของประชาชน อันดับแรกที่นายพลนากามูระคำนึงคือการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้วยการเสนอต่อกองทัพใหญ่ให้ช่วยบริจาคเงินให้ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย แต่กลับไม่ได้รับความเห็นชอบด้วยแต่ประการใด ยิ่งทำให้เห็นว่านายพลนากามูระมีความเป็นห่วงต่อเรื่องนี้มาก แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพใหญ่ ถ้าให้ความช่วยเหลือไปอาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างเรื่อยๆไป
เพราะด้วยแนวคิดในการปฏิบัติงานของนายพลนั้นได้ยึดมั่นในแนวทางสันติ ในการแก้ปัญหา ด้วยการพิจารณาให้รอบครอบก่อนตัดสินใจสิ่งใดลงไป และต้องไม่เป็นการชักช้าเมื่อได้ตัดสินใจลงไปแล้วต้องปฏิบัติการให้เด็ดขาดและรวดเร็ว แนวทางนี้นายพลนากามูระได้ปฏิบัติการเชิงการทูตในระดับรัฐบาลที่ยิ่งต้องอาศัยความรอบครอบให้มากกว่าเดิมขึ้นไปอีกเท่า เพราะการแก้ปัญหาทุกอย่างจะดีที่สุดต้องเป็นการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับสูงก่อนเสมอถึงจะได้ผลลงไปในระดับประชาชน
2.2 ระดับผู้นำในคณะรัฐบาล
ในการพบปะกับผู้นำระดับสูงของไทย นายพลนากามูระมีความระเอียดรอบครอบอย่างยิ่งต่อการแสดงท่าที โดยนายพลนากามูระจะสังเกตลักษณะผู้นำฝ่ายไทยเสมอ เพราะการรู้จักลักษณะบุกคลิกเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ขาดไม่ได้ การเข้าพบจอมพล ป พิบูลสงครามในครั้งแรกนั้น ไม่เป็นไปอย่างที่คาดการเพราะจอมพล ป พิบูลสงคราม ไม่อยู่จึงให้หลวงพรมหมโยธี เป็นผู้จัดงานเลี้ยงรับรองแทน ในครั้งนี้นายพลนากามูระไม่ลืมที่จะแสดงจุดยืน และท่าทีที่ชัดเจนต่อฝ่ายไทยของฝ่ายญี่ปุ่น โดยการกล่าวสุนทรพจน์ที่บอกชัดเจนว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะปฏิบัติต่อไทยด้วยการคำนึงถึงหลักสัมพันธ์มิตร และเอกราชของไทยเป็นสำคัญ ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อฝ่ายไทยได้ ด้วยแนวคิดและหลักปฏิบัติที่ได้แสดงออกไปให้ฝ่ายไทยได้รับรู้ อย่างมั่นใจ
เมื่อได้พบจอมพล ป พิบูลสงคราม ผู้นำสูงสุดของไทยในยุคนั้น นายพลนากามูระก็ไม่ลืมที่จะสังเกตและไตร่ตรองถึงบุคลิกลักษณะของจอมพล ป พิบูลสงครามทันที ซึ่งไม่เพียงแต่เท่านี้แต่ยังรวมถึงคณะรัฐบาล และผู้สำเร็จราชกาลในเมืองไทยทุกคน อันแสดงให้เห็นว่านายพลนากามูระมีความใส่ใจเป็นอย่างยิ่งที่จะศึกษาความเป็นไปของคณะรัฐบาลฝ่ายไทยทุกคน รวมถึงคนรอบข้างด้วย ตามหลักความรอบครอบในการทำหน้าที่ตรงส่วนนี้ การแสดงท่าทีสนิมสนมกับฝ่ายรัฐบาลทั้งรัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม ถึงรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ทำให้นายพลนากามูระได้รับรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆผ่านการรายงานของพวกเขาเป็นอันดับแรก และเป็นการแสดงท่าทีความเป็นมิตรอันจะทำให้การปฏิบัติงานและความสัมพันธ์ต่างๆดูราบรื่นขึ้นมาก และด้วยลักษณะความเป็นผู้บัญชาการที่นับถือศาสนาพุทธที่ค่อนข้างเคร่งครัด และการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักสำคัญตลอดเวลา เพราะประเทศไทยถือเป็นฐานทัพสำคัญมากของกองทัพญี่ปุ่นที่จะใช้เป็นฐานปฏิบัติการส่งกำลังบำรุงให้กับกองทัพที่ทำการสู่รบในแนวหน้าได้อย่างมีปัญหาน้อยที่สุด
การดำเนินการในขั้นนี้คือการเข้าพบผู้นำฝ่ายไทยบ่อยครั้ง และร่วมหารือหรือการแสดงความเคารพและให้เกียรติต่อฝ่ายไทยเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมรับประทานอาหารที่บ้านพักของจอมพล ป พิบูลสงคราม การไปเยี่ยมจอมพล ป พิบูลสงคราม ที่ลพบุรีหลังลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การจัดงานพบปะทุกๆครั้งเมื่อถึงกำหนดกับรัฐบาลใหม่ นายควง อภัยวงศ์ และเอกอัครราชทูตยามาโมโต้ เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
การมาเยือนไทยของนายยกรัฐมนตรีญี่ปุ่นโตโจ ฮิเดกิ ถือเป็นการมาที่แม้กระทั่งนายพลนากามูระเองนั้นก็ไม่ทราบว่ามาด้วยเหตุผลอันใด ทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการหารือกันระหว่างนายพลนากามูระกับนายกโตโจแล้วหลังมาถึงเมืองไทย คือต้องการยกดินแดน 4 รัฐมลายูกับ 2 รัฐฉานให้ไทย ก่อนการเปิดประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาที่กรุงโตเกียว การที่นายยกโตโจ ฮิเดกิมาเยือนไทยด้วยตัวเองนั้นอาจเป็นเพราะต้องการให้จอมพล ป พิบูลสงครามไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาด้วย ถือเป็นธรรมเนียมการทูตที่ผู้นำประเทศหนึ่งมาเยือนผู้นำอีกประเทศหนึ่ง และต่อไปผู้นำประเทศนั้นต้องไปเยือนตามธรรมเนียม แต่จอมพล ป พิบูลสงครามกลับละเลยธรรมเนียมการทูตนี้ไป โดยส่งผู้ตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมแทน ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้นายทหารญี่ปุ่นผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เชิญจอมพล ป พิบูลสงครามไปร่วมประชุมต้องเกิดความเครียด เพราะไม่สามารถเชิญจอมพล ป พิบูลสงครามไปเข้าร่วมประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาได้ ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งหน้าที่
เหตุการณ์นี้เป็นปัญหาหนึ่งที่ทั้งสองประเทศไม่สามารถตกลงหรือให้ความกระจ่างได้ด้วยเพราะเหตุใดแต่เรื่องนี้อยู่ในสายตาของนายพลนากามูระ ตลอดเพราะเขาได้เข้าไปช่วยเจรจากับจอมพล ป พิบูลสงคราม แต่ไม่เป็นผล สุดแล้วแต่การตัดสินใจของจอมพล ป พิบูลสงคราม ที่อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ตามทัศนของนายพลนากามูระว่าอาจเป็นเพราะเสรีไทยก็เป็นได้
การปฏิบัติการภายใต้แรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงที่สงครามเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นเริ่มเสียเปรียบ ประกอบกับปัญหาการเมืองภายในประเทศไทย แม้กระทั่งเรื่องการผลัดเปลี่ยนผู้นำไทย เป็นนายควง อภัยวงศ์ นายพลนากามูระก็ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เกิดปัญหาวุ่นวาย และต้องการรัฐบาลที่ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นต่อไปเท่านั้น  ภายหลังนายพลนากามูระได้รับแรงกดดันจากกองทัพใหญ่ให้ใช้ทหารเข้าปฏิบัติการกับประเทศไทยเช่นเดียวกับที่อินโดจีน เพราะข่าวสารจากฝ่ายญี่ปุ่นรั่วไหลไปสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร อันมีต้นเหตุมาจากขบวนการเสรีไทยที่เข้ามาปฏิบัติการในเมืองไทยมากขึ้น แต่การใช้ทหารเข้าจัดการกับประเทศไทยกลับไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่สมควรนัก นายพลนากามูระได้พยายามใช้วิธีประนีประนอม และยังคงประกาศจุดยืนชัดเจนในเจตนารมในการปฏิบัติภารกิจโดยคำนึงถึงหลักสันติวิธีและหลักสัมพันธไมตรีไทยและญี่ปุ่นเป็นหลักอยู่เสมอ แต่ก็ได้ใช้วิธีการข่มขู่เพื่อไม่ให้ฝ่ายไทยคิดอะไรที่จะเป็นการบีบบังคับให้ฝ่ายญี่ปุ่นต้องใช้กำลังทหาร แต่เมื่อถึงเวลาที่สุดแล้วก่อนสงครามจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของประเทศญี่ปุ่น นายพลนากามูระได้เกือบตัดสินใจนำทหารเข้าจัดการปลดอาวุธทหารไทย
การดำเนินการปฏิบัติภารกิจพิเศษในฐานะการเชื่อมสัมพันธไมตรีไทยและญี่ปุ่นของนายพลนากามูระได้จบลงด้วยดี โดยที่ไม่มีฝ่ายไดละเมิดกติกาสัมพันธมิตรจวบจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง อันแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปฏิบัติภารกิจภายใต้แรงกดดันอย่างยิ่งของนายพลนากามูระเกี่ยวกับการตัดสินใจ ที่ต้องรอบครอบ ผ่านการไตร่ตรองแล้วอย่างดี และการสังเกตหาความรู้เกี่ยวกับเมืองไทย ในความพยายามที่จะติดต่อสัมพันธ์กับผู้นำฝ่ายไทยได้อย่างใกล้ชิดสนิทสนมให้มากที่สุดเพื่อเป็นการรู้เขารู้เรา อันเป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติมาเป็นอันดับหนึ่ง ประกอบกับความอดทนอดกลั้น และด้วยบุคลิกส่วนตัวของนายพลนากามูระที่เป็นคนสุขขุมรอบครอบ จึงทำให้การปฏิบัติภารกิจผ่านไปได้ด้วยการไม่ใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับปัญหา

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถนน "เจริญกรุง"ถนนแบบตะวันตกสายแรกของประเทศไทย

    ถนนสายใหม่ สายแรกในประเทศไทย           แรกเริ่มเดิมทีไทยไม่มีการตัดถนนแบบ เรียบๆแบนๆ ดูมีแบบแผน เราใช้ถนนที่เรียกว่า "ทางเกวียน ...