วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข้อพิพาทหมู่เกาะทะเลจีนใต้ (อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดจากการทำแผนที่)

ข้อพิพาทหมู่เกาะทะเลจีนใต้ (อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดจากการทำแผนที่)


'A New Map of the East India Isles', from Cary's New Universal Atlas (1801), by John Cary
แหล่งที่มา: http://www.historytoday.com/bill-hayton/shadow-south-china-sea
.......ความจริงสองส่วนใหญ่ๆของข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ หนึ่ง คือ เกี่ยวกับหมู่เกาะของกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เกี่ยวพันธ์กับจีน ใต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย บลูไน เวียดนาม ไปสู่การจำกัดขอบเขต อินโดนีเซีย อีกส่วนที่เกี่ยวข้องในระหว่างหมู่เกาะข้อพิพาทนี้ คือ ความจริงเกี่ยวกับกฎของระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายทางทะเล และส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอเมริกาและจีนหรือจะเรียกว่าเขตอิทธิพลของมหาอำนาจทั้งสองก็ได้ค่ะ
....... ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นในเดือนมิถุนายน ปี 2476 จีนได้ตั้งคณะกรรมการในการตัดสินใจเรื่องพรมแดนของประเทศและทำแผนที่ให้ถูกต้องตามระเบียบ (เมื่อก่อนจีนไม่ได้สนใจก่อนหน้านั้นฝรั่งเศสยึดเอาไป) อาณาเขตโดยส่วนมากถูกยกให้ชาติมหาอำนาจเกินศตวรรษก่อนหน้าและรัฐบาลจีนขณะนั้นไม่มั่นใจว่าจะดำเนินการเรียกร้องสิทธิ์มากกว่านั้น ชะตากรรมของหมู่เกาะทะเลจีนใต้ตกอยู่ในความยุ่งเหยิงในกระบวนการทำแผนที่นี้
....... คณะกรรมการตัดสินใจเหล่านี้เมื่อทำแผนที่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องออกสำรวจหมู่เกาะด้วยตนเองค่ะ แต่เป็นเพียงแค่คัดลอกแผนที่ที่มีอยู่และแปลทับศัพท์หรือชื่ออังกฤษเป็นภาษาจีน แหล่งข้อมูลที่จีนใช้คือ "China Sea Directory" ที่ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2442 

แหล่งที่มา: http://www.manager.co.th/China/viewnews.aspx?NewsID=9590000069661

...... ทั้งนี้ทำให้แผนที่เส้นประของจีนมีขึ้น ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ปี 2490 ในสมัยที่จีนยังเป็นสาธารณรัฐจีน (ROC ) นั้น จีนได้ลากเส้นประ เป็นรูปตัว U ทั้งหมด 11 เส้น ครอบคลุมพื้นที่ที่จีนอ้างเป็นเจ้าของมาแต่โบราณกาล อย่างไรก็ตาม เป็นการอ้างที่คลุมเครือ









อ้างอิง Bill Hayton, "Shadow on the South China Sea" 
พรรณพิไล นาคธน, "แผนที่เส้นประ 9 เส้น ปฐมบทแห่งความขัดแย้งในทะเลจีนใต้"

การโฆษณาชวนเชื่อในกิโมโนญี่ปุ่น เสื้อผ้าที่สวยงามเหล่านี้เป็นการเฉลิมฉลองอำนาจทางทหาร"

                                                                                                                     by Sam Perkins 
                                                                                                                  แปล สกุลรัตน์
เมื่อเรานึกถึงชุดกิโมโนของญี่ปุ่นเราจะมีภาพชุดกิโมโนเป็นภาพเป็นแบบฟอร์มลวดลายที่เคยเห็นจนชินตาอาจจะเป็นฉากของดอกเบญจมาศ หางนกยาวๆสวยๆที่กำลังบินอยู่เหนือต้นดอกซากุระที่กำลังผลิบาน หรือทัศนียภาพของภูเขาที่งดงามราวกับภาพวาด แต่ตอนนี้ลองจินตนาการถึงภาพเด็กๆในสงครามกันดูนะคะ ที่ถูกนำมามาทำเป็นเรื่องราวสงครามของญี่ปุ่น การสู้รบในสงคราม ทั้งหมดนี้ถูกนำมาไว้ในชุดกิโมโนเลยค่ะ

ภาพชุดกิโมโนที่เห็นเป็นภาพที่ค่อนข้างสะเทือนอารมณ์แต่ทว่าสวยงามและโลกที่มหัศจรรย์ใจของการสร้างชุดกิโมโนในลักษณะที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นค่ะเป็นศิลปะแบบญี่ปุ่นที่ผสมผสานไปกับศิลปแบบป็อบๆของญี่ปุ่นได้รับความนิยมและเจริญรุ่งเรืองในช่วง 1900-ถึงปี 1945 และชุดกิโมโนเหล่านี้ได้รับการค้นพบเมื่อในทศวรรษที่ผ่านมานี้ค่ะ 

A detail of a boy’s kimono from 1933, showing a boy bugler with dog, surrendering Chinese soldiers and the Rising Sun flag. NORMAN BROSTERMAN

แหล่งที่มา: http://www.atlasobscura.com/articles/the-propaganda-kimonos-japan-kept-hidden-from-outsiders


น่าสนใจว่าชุด “กิโมโนโฆษณาชวนเชื่อ” ของญี่ปุ่นนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 19 เพื่อตอบสนองความหิวกระหายความทันสมัยของสังคมญี่ปุ่นยุคนั้นค่ะ ชุดเหล่านี้จะถูกสงวนให้ใช้สำหรับภายในบ้านหรืองานปาร์ตี้ส่วนตัว
รูปแบบที่น่าสนใจของการออกแบบจากต้นปี 1920ถึงปลายปี 1930 เป็นภาพที่สดใสของการรับอารยธรรมตะวันตก อาณาคตของผู้บริโภคอารยธรรมแบบตะวันตกชาวญี่ปุ่น, ภูมิทัศน์ของเมืองด้วยรถไฟใต้ดินและตึกระฟ้าเรือเดินสมุทร, ซึ่งระเนระนาดไปด้วยเงารถและเครื่องบิน เรียกว่ามองไปทางไหนเจอวัฒนธรรมของตะวันตกเต็มไปหมดเลยค่ะนี่คือยุคแห่งการมองญี่ปุ่นว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
โดยในปี 1920 กลุ่มอนุรักษ์นิยมและกองกำลังพิเศษชาตินิยมทางทหารและรัฐบาลชนชั้นนำเริ่มที่จะผลักดันการอ้างสิทธิ์และค่านิยมแบบเดิม โดยอำนาจทหารเหล่านี้มีความคิดจะผลิตอาวุธยุธโทปกรณ์ต่างด้วยตนเองเพื่อที่จะสร้างภาพของญี่ปุ่นให้เจริญแบบตะวันตกด้วยคนญี่ปุ่นเองนะคะเข้าใจอย่างนี้  “เรียกว่านี่คือช่วงเวลาในญี่ปุ่นที่ทหารมีความคิดที่ตรงกับความทันสมัยแบบตะวันตก” นั่นเองค่ะ
A depiction in silk of General Matsui Iwane entering Nanking on December 13, 1937. NORMAN BROSTERMAN
แหล่งที่มา: http://www.atlasobscura.com/articles/the-propaganda-kimonos-japan-kept-hidden-from-outsiders




A kimono from the early 1930s depicting a city of the future. NORMAN BROSTERMAN
แหล่งที่มา:http://www.atlasobscura.com/articles/the-propaganda-kimonos-japan-kept-hidden-from-outsiders

     

โดยบริบทการเมืองโลกช่วงนั้นนะคะช่วงนั้นทหารญี่ปุ่นเริ่มมองเห็นแล้วว่าตะวันกำลังลายล้อมญี่ปุ่นอยู่ค่ะทหารญี่ปุ่นอยู่เฉยไม่ได้ เพราะอังกฤษยึดฮ่องกงไปแล้ว ดัตช์ได้อินโดนีเซีย รัสเซียได้ก้าวเข้ามาอยู่ในแมนจูเรียเกือบจะหน้าบ้านญี่ปุ่นแล้ว อเมริกาก็คุมฟิลิปปินส์อยู่และได้ผนวกเอาฮาวายไป ส่วนเยอรมันได้เคลื่อนเข้ามาที่นิวกินีและซามัวญี่ปุ่นคิดว่าอยู่เฉยไม่ได้แล้ว
ญี่ปุ่นจึงเอาบ้างในปี 1931 ญี่ปุ่นโต้กลับด้วยการเริ่มบุกรุกเข้าไปในแมนจูเรียและจัดการตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดทันทีที่นั่น นักประวัติศาสตร์เห็นว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ลัทธินิยมทหารของญี่ปุ่นและความก้าวร้าวและถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตกเพิ่มขึ้น ในตอนท้ายของทศวรรษมีเพียงมิตรทางตะวันตกที่ในอนาคต คือฝ่ายอักษะด้วยกันเยอรมนีและอิตาลีนั่นเองค่ะ
A kimono depicting a boy soldier on horseback with a sword, c. 1937. NORMAN BROSTERMAN
แหล่งที่มา:http://www.atlasobscura.com/articles/the-propaganda-kimonos-japan-kept-hidden-from-outsiders


ส่วน“กิโมโนโฆษณาชวนเชื่อ” เป็นชุดที่รวมรูปแบบชาตินิยมกับยึดถือวัฒนธรรมสมัยนิยม หมายถึง กองทัพทหาร ความทันสมัยของอาวุธยุธโทปกรณ์ทางทหาร เครื่องยนต์สิ่งอำนายความสะดวกแบบตะวันตก  เช่น ปืน เครื่องบิน รถถัง รถยนต์ เครื่องแบบทหาร ฯลฯ ประมาณนี้ค่ะ ภาพชุดมีสุนัขด้วยให้สัญลักษณ์เป็นความจงรักภักดีและความกล้าหาญ รูปแบบชุดกิโมโนนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวทางสงครามทางทหารของญี่ปุ่น ชัยชนะ ความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ ที่นักออกแบบได้พยายามสรรหาภาพมาเพื่อจะบอกว่าญี่ปุ่นเจริญและเป็นมหาอำนาจเทียบเท่าตะวันตกค่ะ

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

World War Two: Summary Outline of Key Events (1) : เหตุการณ์ ปี 1939


แหล่งที่มา: http://ww2gravestone.com/the-phoney-war/

สามปีของความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ-ช่วงนั้นแวดล้อมด้วยสงครามกลางเมืองสเปน การผนวกดินแดนโดยใช้อำนาจจากเยอรมันและออสเตรีย การเข้ายึดครองของฮิตเลอร์ในพื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐเช็กที่ชายแดนใกล้

เยอรมนีและการบุกรุกเช็กโกสโลวาเกีย ถึงที่สุดในการเข้ายึดครองเยอรมันได้บุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมันหลังจากนั้นสองวัน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาประกาศความเป็นกลาง แต่อเมริกาเองก็ได้ดำเนินการช่วยจัดหาอุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นให้กับอังกฤษ และที่สำคัญในสมรภูมิแอกแลนด์ติกระหว่างเรือ ยู-เยอรมันและขวนเรืออังกฤษที่ได้เริ่มต้นขั้น

ยุโรปตะวันตกอยู่ในช่วงแห่งความเงียบที่หวาดกลัวในระหว่างสงครามลวงการเตรียมการสำหรับทำสงครามจริงจังอย่างต่อเนื่องแต่มีสัญญาณไม่กี่อย่างของความขัดแย้ง และประชาชนที่อพยพออกจาลอนดอนในช่วงแรกของเดือนได้ทยอยกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง หน้ากากป้องกันแก๊สถูกแจกกระจายให้กับประชาชน และทุกคนรอคอยว่าสงครามจะเริ่มต้นอีก


แหล่งที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=romancini&month=03-07-2009&group=2&gblog=9

ส่วนในยุโรปตะวันออกและสแกนดิเนเวีย อย่างไรก็ตามที่นั่นไม่มีอะไรลวงเกี่ยวกับสงครามแต่มันเกิดขึ้นแล้ว อนุสัญญาริบเบนทราบลงนามระหว่างเยอรมนีและสหภาพโซเวียตในช่วงปลายเดือนสิงหาคมรัสเซียเยอรมนีตามเข้าไปในโปแลนด์ในเดือนกันยายน ประเทศถูกแบ่งแยกระหว่างสองผู้รุกรานก่อนจะสิ้นปีนั้น และรัสเซียได้ทำการก้าวร้าวนี้ต่อไปโดยจะไปบุกฟินแลนด์ต่อ

World War Two: Summary Outline of Key Events (1) : เหตุการณ์ ปี 1939


แหล่งที่มา: http://ww2gravestone.com/the-phoney-war/

สามปีของความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ-ช่วงนั้นแวดล้อมด้วยสงครามกลางเมืองสเปน การผนวกดินแดนโดยใช้อำนาจจากเยอรมันและออสเตรีย การเข้ายึดครองของฮิตเลอร์ในพื้นที่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐเช็กที่ชายแดนใกล้

เยอรมนีและการบุกรุกเช็กโกสโลวาเกีย ถึงที่สุดในการเข้ายึดครองเยอรมันได้บุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมันหลังจากนั้นสองวัน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาประกาศความเป็นกลาง แต่อเมริกาเองก็ได้ดำเนินการช่วยจัดหาอุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นให้กับอังกฤษ และที่สำคัญในสมรภูมิแอกแลนด์ติกระหว่างเรือ ยู-เยอรมันและขวนเรืออังกฤษที่ได้เริ่มต้นขั้น

ยุโรปตะวันตกอยู่ในช่วงแห่งความเงียบที่หวาดกลัวในระหว่างสงครามลวงการเตรียมการสำหรับทำสงครามจริงจังอย่างต่อเนื่องแต่มีสัญญาณไม่กี่อย่างของความขัดแย้ง และประชาชนที่อพยพออกจาลอนดอนในช่วงแรกของเดือนได้ทยอยกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง หน้ากากป้องกันแก๊สถูกแจกกระจายให้กับประชาชน และทุกคนรอคอยว่าสงครามจะเริ่มต้นอีก


แหล่งที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=romancini&month=03-07-2009&group=2&gblog=9

ส่วนในยุโรปตะวันออกและสแกนดิเนเวีย อย่างไรก็ตามที่นั่นไม่มีอะไรลวงเกี่ยวกับสงครามแต่มันเกิดขึ้นแล้ว อนุสัญญาริบเบนทราบลงนามระหว่างเยอรมนีและสหภาพโซเวียตในช่วงปลายเดือนสิงหาคมรัสเซียเยอรมนีตามเข้าไปในโปแลนด์ในเดือนกันยายน ประเทศถูกแบ่งแยกระหว่างสองผู้รุกรานก่อนจะสิ้นปีนั้น และรัสเซียได้ทำการก้าวร้าวนี้ต่อไปโดยจะไปบุกฟินแลนด์ต่อ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559


อเล็กซานเดอร์มหาราช


แหล่งที่มา: https://storyhis.files.wordpress.com/2014/11/55008732.jpg
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรยุคโบราณ  อเล็กซานเดอ์เกิดในปี 356 ปีก่อนคริสตกาลที่เมืองเพลลาเมืองหลวงของมาซิโดเนีย ความยิ่งใหญ่ของอเล็กซานเดอร์ กล่าวคือ เขาไม่เพียงเป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียเท่านั้น แต่ยังเป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย บาบิโลนและเอเชีย และยังได้สร้างอาณานิคมมาซิโดเนียในอิหร่าน ทั้งหมดนี้อเล็กซานเดอร์จึงได้ชื่อว่าเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิมาซิโดเนีย

ประวัติ
อเล็กซานเดอร์เป็นโอรสของกษัตริยฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนียและโอลิมเปียสเจ้าหญิงแห่งแคว้นไพลิอุสที่อยู่ใกล้เคียงกัน  ในวัยเด็กของอเล็กซานเดอร์มักใช้เวลาในการเฝ้าติดตามดูความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ซึ่งเป็นพ่อของพระองค์ ที่กำลังนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่มาซิโดเนียด้วยกองทัพที่ทรงอำนาจ จากการขยายอาณาเขตออกไปหลังนครรัฐเอเธนส์กับสปาร์ต้าอ่อนกำลังลง เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 12 ปี เขาได้แสดงทักษะการขี่ม้าป่าพยศให้พ่อดู และได้ตั้งชื่อให้ม้าตัวนั้นว่า “บูเซบฟารัส” และกลายเป็นม้าคู่ใจของอเล็กซานเดอร์ในเวลาออกศึกสงครามในทุกสมรภูมิรบในเวลาต่อมา
อเล็กซานเดอร์กับพระอาจารย์อลิสโตเติล แหล่งที่มา: http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711041


อเล็กซานเดอร์ได้รับการเล่าเรียนจากอาจารย์ชื่ออลิสโตเติลซึ่งเป็นนักปราชญ์ของกรีกที่มีชื่อเสียงมาก โดยอริสโตเติลสอนอเล็กซานเดอร์กับบรรดาสหายในเรื่องการแพทย์ ปรัชญา ศีลธรรม ศาสนา ตรรกศาสตร์ และศิลปศาสตร์  จนแตกฉานและอเล็กซานเอด์ยังมีความเชียวชาญทั้งในด้านการรบ การสงคราม และการปกครองด้วย จากการสอนของอริสโตเติลทำให้อเล็กซานเดอร์เติบโตขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจอย่างสูง โดยเฉพาะในงานเขียนของโฮเมอร์ เรื่อง “อีเลียด” อริสโตเติลมอบงานเขียนฉบับคัดลอกของเรื่องนี้ให้พระองค์ชุดหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์เอาติดตัวไปด้วยยามที่ออกรบ จากการศึกษาครั้งนี้สามารถกล่าวได้ว่าความทะเยอทะยานของอเล็กซานเดอร์เกิดจากการที่เขาได้รับการศึกษาจากอลิสโตเติล และการที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ผู้เป็นบิดาทำให้เขาอยากจะยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วยการเจริญรอยตามกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ในการขยายอาณาดินแดนแต่ความสามารถของอเล็กซานเดอร์ทำให้พระองค์ไปไดไกลกว่านั้นจนได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาราชแห่งอาณาจักรยุคโบราณ

การขึ้นสู่อำนาจ
อเล็กซานเดอร์ค่อนข้างมีความผูกพันและมีความใกล้ชิดกับมารดาคือราชินีโอลิมเปียส มากกว่าผู้เป็นบิดา หลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ด้วยการถูกลอบสังหาร ทำให้อเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นสืบบัลลังก์มาซิโดเนียในปี 336 ปีก่อนคริสตกาลในเวลาต่อไป เหตุการณ์นี้มีข้อควรพิจารณาต่อการลอบปลงพระชนม์คือ ครอบครัวของอเล็กซานเดอร์ กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ผู้เป็นบิดากับพระนางโอลิมเปียสนั้นได้แยกกันอยู่หลังกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ทรงอภิเษกสมรสใหม่กับลูกสาวขุนนางชั้นสูงของมาชิโดเนีย คือ คลีโอพัตรา และมีการกล่าวว่ากษัตริย์ฟิลิที่ 2 จะยกคลีโอพัตราขึ้นเป็นราชินีองคงใหม่แทนโอลิมเปียสและจะมีลูกชายที่เกิดจากพระนางซึ่งเป็นหญิงชาวมาซิโดเนียด้วยกัน ซึ่งจะมีสิทธิ์อันชอบธรรมในบัลลังค์มากกว่าอเล็กซานเดอร์ นี่จึงอาจเป็นประเด็นหลักที่ทำให้สามารถสันนิฐานว่าเป็นเหตุให้นำมาสู้การลอบสังหารกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 จนสิ้นพระชนย์ได้ และอีกข้อสันนิฐานหนึ่งคือ กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ทรงทะเลาะรุนแรงกับอเล็กซานเดอร์และทรงได้กล่าวว่าจะไม่ให้อเล็กซนาเดอร์ขึ้นครองบัลลังค์เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ดังนั้นทั้งสองกรณีนี้จึงอาจนำมาสู่การลอบสังหารกษัตริย์ฟิลิปที่ 2ได้

 จากภาพคือ “พอซานิอัส” ซึ่งเป็นทั้งคนรับใช้สนิทและเป็นองครักษ์ติดตามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 สำหรับสถานที่การรอบสังหารนั้นมีขึ้นบันทึกไว้ต่างกันบ้างว่าเกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองสมรสของพระธิดา ฟิลิปที่ 2 อีกองค์หนึ่งที่เกิดกับโอลิมเปียส ซึ่งมีชื่อว่า คลีโอพัสตราเช่นกัน แต่บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในโรงละครที่เล่นเฉลิมฉลองในพิธีจัดขึ้นเพื่อประกาศการนำทัพไปพิชิดอาเซีย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ได้ทำให้อเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียได้อย่างชอบธรรมตามการสืบบัลลังค์กษัตริย์


การสิ้นพระชนม์
อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ที่บาบิโลนเมื่อปี 323 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอายุได้เพียง 32 ปีเท่านั้น ซึ่งพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมารจากอาการป่วยอยู่นานถึง 10 วันก่อนจะสิ้นพระชนม์ สาเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของพระองค์นั้นมีข้อถกเถียงหลายประเด็นในนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ แต่ประเด็นที่กล่าวว่าการสินพระชนม์ของอเล็กซานเดอร์นั้นแทบจะไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยนั่นคือพระองค์น่าจะเจ็บป่วยจากการเดินทางอันทุรกันดารและการทำศึกมาอย่างยาวนาน ก็สามารถทำให้พระองค์สามารถเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังได้  ซึ่งโรคที่น่าจะเป็นคือ การสิ้นพระชนม์เพราะเป็นโรคมาลาเรียและไทฟอยด์ที่ในสมัยนั้นสามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ รวมทั้งการถูกวางยาพิษ หรือแม้กระทั่งการติดเชื้อแบคทีเรียจากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเข้าไป แต่เรื่องทั้งหมดนี้ยังคงเป็นปริศนามากว่า 2,000 ปีที่ยังไม่มีข้อสรุปได้อย่างชัดเจน






การขยายอำนาจ
อเล็กซานเดอร์เริ่มขยายดินแดนในปี 334ก่อนคริสตกาลเพียงสองปีหลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนีย พระองค์เริ่มขยายอำนาจไปทางตะวันออกด้วยการบุกเข้าไปทางตอนเหนือของอาเซียไมเนอร์เพื่อยึดครองอานาจักรเปอร์เซียที่ยิ่งใหญ่ซึ่งขณะนั้นอยู่ในการปกครองของกษัตริย์ดาริอุส ที่ 3 เพียงไม่นานกองทัพของอเล็กซานเดอร์ก็สามารถพิชิดเมืองต่างๆในอาเซียไมเนอร์ได้ทั้งหมด และได้ประกาศสถาปนาอำนาจพระองค์เป็น “กษัตริย์แห่งอาเซีย” ไม่นานหลังจากนั้นพระองค์ก้ได้เข้ายึดอียิปต์ซึ่งในขณะนั้นก็ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเปอร์เซียด้วยเช่นกัน และได้เรียกชื่อเมืองที่ยึดได้จากเจรูซาเล็มว่า “อเล็กซานเดรีย”เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองต่อชัยชนะที่ผ่านมาของพระองค์และกลายเป็นเมืองหลวงของอียิปต์จากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

จากภาพแผนที่แสดงให้เห็นเส้นทางการเดินทัพของอกองทัพมาซิโดเนียและการขยายดินแดนของจักรวรรดิมาซิโดเนียที่ครอบคลุมเข้าไปถึงฝั่งทวีปเอเชียตลอดจนเมืองต่างๆที่ยึดครองได้
 หลังจากยึดอาเซียไมเนอร์และอียิปต์ได้ทั้งหมด อเล็กซานเดอร์ จึงได้เข้าบุกเข้าไปที่อัสซีเรีย อันจะเป็นประตูต่อไปเพื่อพิชิดบาบิโลนและเปอร์ซิโปลิสที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซีย จนกระทั่งใน 330 ปีก่อนคริสตกาลกองทัพของอเล็กซานเดอร์สามารถยึดเมืองเปอร์ซิโปโปลิสได้ และได้เผาทำลายจนวอดวายอันถือว่าสิ้นสุดจักรวรรดิเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 230 ปี การเผาทำลายในครั้งนี้เพื่อแก้แค้นที่กองทัพเปอร์เซียเคยเผาเอเธนส์จนวอดวายเช่นกัน และถือว่าเป็นการเผาเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่อย่างเปอร์เซียถูกกองทัพของอเล็กซานเดอร์ทำลายแล้วอย่างราบคาบ หลังจากนั้นก็สามารถยึดครองเมืองที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิเปอร์เซียได้ทั้งหมด และมุ่งหน้าบุกอินเดียต่อไปการบุกอินเดียของอเล็กซานเดอร์นั้นในระหว่างการเดินทางการรบ ในเมืองต่างๆ อเล็กซานเดอร์ได้อภิเษกอย่างถูกต้องกับ “โรซานา”ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งบาคเตรีย และพระนางได้เดินทางไปกับอเล็กซานเดอร์ทั้งในยามศึกสงคราม การเดินทางมุ่งขยายดินแดนของอเล็กซานเดอร์ในอินเดียครั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น และกองทัพของพระองค์ก็เดินทางกลับมาที่บาบิโลนและพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลงที่บาบิโลนสิ้นสุดบทบาทกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจแห่งจักรวรรดิมาซิโดเนีย ส่วนเมืองใหญ่สำคัญต่างๆ ตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหารคนสนิทที่จงรักภักดีของอเล็กซานเดอร์ เช่น ปโตเลมี ที่ได้สถาปนาราชวงศ์ปโตเลมีขึ้นมาในอียิปต์ เป็นต้น








_______________________________________
อ้างอิง
BBC, Alexander the Great (356 - 323 BC) , http://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/alexander_the_great.shtml, 9 พฤศจิกายน 2558.
 Bio , Alexander the Great - Rise to Power, http://www.biography.com/people/alexander-the-great-9180468/videos/alexander-the-great-rise-to-power-17439811678, 7 พฤศจิกายน 2558.
EyeWitiness to History  ,The Death of Alexander the Great,323 BC, http://www.ancient.eu/Alexander_the_Great/, 9 พฤศจิกายน 2558.
history of macedonia blog , Alexander the Great Alexander of Macedon Biography
                   King of Macedonia and Conqueror of the Persian Empire, http://www.historyofmacedonia.org/AncientMacedonia/AlexandertheGreat.html, 7 พฤศจิกายน 2558.
ดวงธิดา ราเมศวร์. อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่กับกรีกในสมัยของพระองค์.กรุงเทพฯ : แพรธรรม. 2537.








วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559


             ทำไมประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงจึงมีประเพณีสู่ขวัญข้าวเหมือนกัน


แหล่งที่มา: http://www.anantasook.com/the-third-month-e-shan-new-year/


ความสำคัญของประเพณีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญข้าวเป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ตามความเชื่อดั้งเดิมคือการเคารพบูชาพระแม่โพสพผู้ดูแลข้าวของชาวนาให้เจริญงอกงามดีเป็นการขอขมาและขอบคุณพระแม่โพสพหรือเทพีแห่งข้าวผู้มีบุญคุณกับชาวนาเพราะเปรียบเสมือนเทพเจ้าผู้ดูแลพืชพันธ์ธัญญาหารให้ชาวนาและสัตว์ใช้เป็นอาหารเลี้ยงชีพ เมื่อมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตจึงมีการทำพิธีเพื่อเรียกขวัญของพระแม่โพสพที่ตกหล่นตามท้องนาขึ้นสู่ยุ้งฉางเพื่อบูชาพระแม่โพสพ และยังเป็นพิธีที่เชื่อกันว่าจะทำให้ชาวนาได้ข้าวอุดมสมบูรณ์ตลอดไป
ปัจจัยแรก ภูมิศาสตร์ เนื่องมาจากว่าภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีแม่น้ำโขงไหลผ่านซึ่งถือเป็นแม่น้ำสายหลักของภูมิภาค และยังมีแม่น้ำสาขาสายที่แตกออกจากแม่น้ำโขงที่ไหลเข้าไปในพื้นที่ตอนในของแต่ละประเทศหรือเรียกว่า ลุ่มแม่น้ำโขงอันได้แก่ แม่น้ำมูล แม่น้ำชี ในประเทศไทย แม่น้ำกก ในประเทศลาว และทะเลสาบเขมรในประเทศกัมพูชา ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกการเกษตรเป็นอย่างยิ่งการมีน้ำคอยหล่อเลี้ยง ส่งผลให้คนในภูมิภาคนี้ประกอบอาชีพการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่เป็นอาชีพหลักของแต่ละครัวเรือน 
แหล่งที่มา: http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-economic-business/result.php?SECTION_ID=468&ID=15143

ปัจจัยที่สอง ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของผู้คนในภูมิภาคนี้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในอดีตพื้นที่ในภาคอีสานเคยอยู่ในอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างๆเช่น ขอมโบราณ ทวารดี ล้านช้าง รัตนโกสินทร์ ล้วนมีความผู้พันกับการทำการเกษตรคือการปลูกข้าว และมีการปฏิสัมพันธ์ต่อกันมาตลอดมีแนวความคิดและความเชื่อเหมือนกัน เพราะมีอาณาบริเวณอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าในทางประวัติศาสตร์ ผู้คนในภูมิภาคนี้มีความผูกโยงสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ทั้งภาษา วัฒนธรรมประเพณี พิธีกรรมความเชื่อ โดยเฉพาะประเพณีการสู่ขวัญข้าวที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้คนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีความผูกพันอยู่กับข้าวมาทั้งชีวิต มีคติความเชื่อที่เหมือนกันคือการสู่ขวัญข้าว
 ปัจจัยที่สาม ด้วยสภาพอากาศของภูมิภาคเป็นเขตมรสุมมีฝนตกชุกต้องตามฤดูกาล ดังนั้นกาลทำนาทำเกษตรกรรมจึงต้องทำตามฤดูกาลเพื่อให้ได้ผลผลิต และตรงตามเป้าหมายในฤดูกาลเก็บเกี่ยวโดยฤดูทำนาจะเริ่มทำกันในช่วงเข้าสู่ฤดูฝน เก็บเกี่ยวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว
ปัจจัยสี่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนในพื้นที่อาศัยอยู่ด้วยกันอยู่ในสังคมการเกษตรเหมือนกัน ที่มีคติความเชื่อเรื่องผีดั้งเดิมมาแต่ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพล เมื่อผู้คนที่อยู่ในสังคมเกษตรกรรมการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นที่จะต้องบูชาเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติเพื่อดลบัลดาลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีความอุดมสมบูรณ์ในทุกๆฤดูกาลของการทำการเกษตรหรือข้าวได้ผลงอกงามดีและถือเป็นการจัดระเบียบทางสังคม กล่าวคือ จะมีผู้ทำพิธีกรรมสู่ขวัญข้าวในขั้นตอนต่างๆด้วย จนกระทั่งกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมาแต่โบราณจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน
ประเพณีสู่ขวัญข้าวได้สะท้อนให้เห็นความเชื่อของผู้คนในเรื่องผี เรื่องสิ่งศักดิ์ตามธรรมชาติ นั่นคือการอยู่ร่วมกันของคนในพื้นที่ที่ต้องอาศัยธรรมชาติเพื่อดลบัลดาลให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์งอกงามดีตลอดทั้งปี ความเชื่อเรื่องพระแม่โพสพเป็นผู้ดูแลข้าว การประกอบพิธีสู่ขวัญข้าวเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าปีต่อๆไปผลผลิตจะมีมากกว่าเดิม ให้แม่โพสพช่วยปกปักษ์รักษาผลผลิตไม่ให้เกิดความเสียหาย นอกจากนั้นแล้วตำนานเรื่องพระแม่โพสพยังมีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาด้วย อาจกล่าวได้อีกอย่างว่าตำนานได้พยายามอธิบายให้เห็นว่าพระแม่โพสพผู้ดูแลข้าวการประกอบพิธีกรรมสู่ขวัญข้าว กับการกำเนิดเมล็ดข้าวนั้นเป็นพิธีส่วนหนึ่งในพุทธศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วได้รับการสืบทอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน สามารถสรุปว่าบริเวณลุ่มน้ำโขงเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ประชาชนทั้งหลายต่างมีความเชื่อร่วมกันตามปัจจัยต่างๆที่กล่าวไปข้างต้น


 





พระเจ้าแผ่นดินที่ 2


แหล่งที่มา : http://cavthai.blogspot.com/2015/08/21033.html

สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายเรื่องความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของชาวต่างประเทศเรื่องฐานะที่เท่าเทียมกันระหว่างพระมหากษัตริย์หรือวังหลวง กับพระมหาอุปราชหรือวังหน้าว่า เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพิ่มพระเกียรติยศของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ซึ่งเป็นพระมหาอุปราช ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" แล้วอธิบายให้ชาวต่างประเทศเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 2 ซึ่งทำให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งทหารวังหน้าขึ้นและมีอาวุธยุทธภัณฑ์มากมาย
ด้วยเหตุนี้ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญจึงทรงเคยมีทหารในสังกัดมากถึง 2,000 นาย อย่างไรก็ตามกรณีวังหน้าทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลดพระอิสริยยศของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมิได้เทียบเท่ากับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเพียง กรมพระราชวังบวรวิไชชาญรวมทั้งจำกัดจำนวนทหารในสังกัดวังหน้าเหลือเพียง 200 นายพร้อมปืนเล็ก และต้องอยู่เฉพาะภายในพระราชวังบวรสถานมงคลเท่านั้น


______________________________________________________

อ้างอิง
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, "นิทานที่ 19 เรื่องเมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน 2 พระองค์" ใน
นิทานโบราณคดี, (กรุงเทพฯ, บรรณาคาร, 2543) หน้า 327-348.

สุนิสา มั่นคง. วังหน้ารัตนโกสินทร์. (กรุงเทพฯศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, 2543)

ถนน "เจริญกรุง"ถนนแบบตะวันตกสายแรกของประเทศไทย

    ถนนสายใหม่ สายแรกในประเทศไทย           แรกเริ่มเดิมทีไทยไม่มีการตัดถนนแบบ เรียบๆแบนๆ ดูมีแบบแผน เราใช้ถนนที่เรียกว่า "ทางเกวียน ...