วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559


อเล็กซานเดอร์มหาราช


แหล่งที่มา: https://storyhis.files.wordpress.com/2014/11/55008732.jpg
อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรยุคโบราณ  อเล็กซานเดอ์เกิดในปี 356 ปีก่อนคริสตกาลที่เมืองเพลลาเมืองหลวงของมาซิโดเนีย ความยิ่งใหญ่ของอเล็กซานเดอร์ กล่าวคือ เขาไม่เพียงเป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียเท่านั้น แต่ยังเป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย บาบิโลนและเอเชีย และยังได้สร้างอาณานิคมมาซิโดเนียในอิหร่าน ทั้งหมดนี้อเล็กซานเดอร์จึงได้ชื่อว่าเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิมาซิโดเนีย

ประวัติ
อเล็กซานเดอร์เป็นโอรสของกษัตริยฟิลิปที่ 2 แห่งมาซิโดเนียและโอลิมเปียสเจ้าหญิงแห่งแคว้นไพลิอุสที่อยู่ใกล้เคียงกัน  ในวัยเด็กของอเล็กซานเดอร์มักใช้เวลาในการเฝ้าติดตามดูความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ซึ่งเป็นพ่อของพระองค์ ที่กำลังนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่มาซิโดเนียด้วยกองทัพที่ทรงอำนาจ จากการขยายอาณาเขตออกไปหลังนครรัฐเอเธนส์กับสปาร์ต้าอ่อนกำลังลง เมื่ออเล็กซานเดอร์อายุได้ 12 ปี เขาได้แสดงทักษะการขี่ม้าป่าพยศให้พ่อดู และได้ตั้งชื่อให้ม้าตัวนั้นว่า “บูเซบฟารัส” และกลายเป็นม้าคู่ใจของอเล็กซานเดอร์ในเวลาออกศึกสงครามในทุกสมรภูมิรบในเวลาต่อมา
อเล็กซานเดอร์กับพระอาจารย์อลิสโตเติล แหล่งที่มา: http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711041


อเล็กซานเดอร์ได้รับการเล่าเรียนจากอาจารย์ชื่ออลิสโตเติลซึ่งเป็นนักปราชญ์ของกรีกที่มีชื่อเสียงมาก โดยอริสโตเติลสอนอเล็กซานเดอร์กับบรรดาสหายในเรื่องการแพทย์ ปรัชญา ศีลธรรม ศาสนา ตรรกศาสตร์ และศิลปศาสตร์  จนแตกฉานและอเล็กซานเอด์ยังมีความเชียวชาญทั้งในด้านการรบ การสงคราม และการปกครองด้วย จากการสอนของอริสโตเติลทำให้อเล็กซานเดอร์เติบโตขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจอย่างสูง โดยเฉพาะในงานเขียนของโฮเมอร์ เรื่อง “อีเลียด” อริสโตเติลมอบงานเขียนฉบับคัดลอกของเรื่องนี้ให้พระองค์ชุดหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์เอาติดตัวไปด้วยยามที่ออกรบ จากการศึกษาครั้งนี้สามารถกล่าวได้ว่าความทะเยอทะยานของอเล็กซานเดอร์เกิดจากการที่เขาได้รับการศึกษาจากอลิสโตเติล และการที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ผู้เป็นบิดาทำให้เขาอยากจะยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วยการเจริญรอยตามกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ในการขยายอาณาดินแดนแต่ความสามารถของอเล็กซานเดอร์ทำให้พระองค์ไปไดไกลกว่านั้นจนได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาราชแห่งอาณาจักรยุคโบราณ

การขึ้นสู่อำนาจ
อเล็กซานเดอร์ค่อนข้างมีความผูกพันและมีความใกล้ชิดกับมารดาคือราชินีโอลิมเปียส มากกว่าผู้เป็นบิดา หลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ด้วยการถูกลอบสังหาร ทำให้อเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นสืบบัลลังก์มาซิโดเนียในปี 336 ปีก่อนคริสตกาลในเวลาต่อไป เหตุการณ์นี้มีข้อควรพิจารณาต่อการลอบปลงพระชนม์คือ ครอบครัวของอเล็กซานเดอร์ กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ผู้เป็นบิดากับพระนางโอลิมเปียสนั้นได้แยกกันอยู่หลังกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ทรงอภิเษกสมรสใหม่กับลูกสาวขุนนางชั้นสูงของมาชิโดเนีย คือ คลีโอพัตรา และมีการกล่าวว่ากษัตริย์ฟิลิที่ 2 จะยกคลีโอพัตราขึ้นเป็นราชินีองคงใหม่แทนโอลิมเปียสและจะมีลูกชายที่เกิดจากพระนางซึ่งเป็นหญิงชาวมาซิโดเนียด้วยกัน ซึ่งจะมีสิทธิ์อันชอบธรรมในบัลลังค์มากกว่าอเล็กซานเดอร์ นี่จึงอาจเป็นประเด็นหลักที่ทำให้สามารถสันนิฐานว่าเป็นเหตุให้นำมาสู้การลอบสังหารกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 จนสิ้นพระชนย์ได้ และอีกข้อสันนิฐานหนึ่งคือ กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 ทรงทะเลาะรุนแรงกับอเล็กซานเดอร์และทรงได้กล่าวว่าจะไม่ให้อเล็กซนาเดอร์ขึ้นครองบัลลังค์เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ดังนั้นทั้งสองกรณีนี้จึงอาจนำมาสู่การลอบสังหารกษัตริย์ฟิลิปที่ 2ได้

 จากภาพคือ “พอซานิอัส” ซึ่งเป็นทั้งคนรับใช้สนิทและเป็นองครักษ์ติดตามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 สำหรับสถานที่การรอบสังหารนั้นมีขึ้นบันทึกไว้ต่างกันบ้างว่าเกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองสมรสของพระธิดา ฟิลิปที่ 2 อีกองค์หนึ่งที่เกิดกับโอลิมเปียส ซึ่งมีชื่อว่า คลีโอพัสตราเช่นกัน แต่บ้างก็ว่าเกิดขึ้นในโรงละครที่เล่นเฉลิมฉลองในพิธีจัดขึ้นเพื่อประกาศการนำทัพไปพิชิดอาเซีย แต่ถึงอย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ได้ทำให้อเล็กซานเดอร์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียได้อย่างชอบธรรมตามการสืบบัลลังค์กษัตริย์


การสิ้นพระชนม์
อเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ที่บาบิโลนเมื่อปี 323 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอายุได้เพียง 32 ปีเท่านั้น ซึ่งพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมารจากอาการป่วยอยู่นานถึง 10 วันก่อนจะสิ้นพระชนม์ สาเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของพระองค์นั้นมีข้อถกเถียงหลายประเด็นในนักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ แต่ประเด็นที่กล่าวว่าการสินพระชนม์ของอเล็กซานเดอร์นั้นแทบจะไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยนั่นคือพระองค์น่าจะเจ็บป่วยจากการเดินทางอันทุรกันดารและการทำศึกมาอย่างยาวนาน ก็สามารถทำให้พระองค์สามารถเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังได้  ซึ่งโรคที่น่าจะเป็นคือ การสิ้นพระชนม์เพราะเป็นโรคมาลาเรียและไทฟอยด์ที่ในสมัยนั้นสามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ รวมทั้งการถูกวางยาพิษ หรือแม้กระทั่งการติดเชื้อแบคทีเรียจากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเข้าไป แต่เรื่องทั้งหมดนี้ยังคงเป็นปริศนามากว่า 2,000 ปีที่ยังไม่มีข้อสรุปได้อย่างชัดเจน






การขยายอำนาจ
อเล็กซานเดอร์เริ่มขยายดินแดนในปี 334ก่อนคริสตกาลเพียงสองปีหลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งมาซิโดเนีย พระองค์เริ่มขยายอำนาจไปทางตะวันออกด้วยการบุกเข้าไปทางตอนเหนือของอาเซียไมเนอร์เพื่อยึดครองอานาจักรเปอร์เซียที่ยิ่งใหญ่ซึ่งขณะนั้นอยู่ในการปกครองของกษัตริย์ดาริอุส ที่ 3 เพียงไม่นานกองทัพของอเล็กซานเดอร์ก็สามารถพิชิดเมืองต่างๆในอาเซียไมเนอร์ได้ทั้งหมด และได้ประกาศสถาปนาอำนาจพระองค์เป็น “กษัตริย์แห่งอาเซีย” ไม่นานหลังจากนั้นพระองค์ก้ได้เข้ายึดอียิปต์ซึ่งในขณะนั้นก็ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเปอร์เซียด้วยเช่นกัน และได้เรียกชื่อเมืองที่ยึดได้จากเจรูซาเล็มว่า “อเล็กซานเดรีย”เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองต่อชัยชนะที่ผ่านมาของพระองค์และกลายเป็นเมืองหลวงของอียิปต์จากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

จากภาพแผนที่แสดงให้เห็นเส้นทางการเดินทัพของอกองทัพมาซิโดเนียและการขยายดินแดนของจักรวรรดิมาซิโดเนียที่ครอบคลุมเข้าไปถึงฝั่งทวีปเอเชียตลอดจนเมืองต่างๆที่ยึดครองได้
 หลังจากยึดอาเซียไมเนอร์และอียิปต์ได้ทั้งหมด อเล็กซานเดอร์ จึงได้เข้าบุกเข้าไปที่อัสซีเรีย อันจะเป็นประตูต่อไปเพื่อพิชิดบาบิโลนและเปอร์ซิโปลิสที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเปอร์เซีย จนกระทั่งใน 330 ปีก่อนคริสตกาลกองทัพของอเล็กซานเดอร์สามารถยึดเมืองเปอร์ซิโปโปลิสได้ และได้เผาทำลายจนวอดวายอันถือว่าสิ้นสุดจักรวรรดิเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 230 ปี การเผาทำลายในครั้งนี้เพื่อแก้แค้นที่กองทัพเปอร์เซียเคยเผาเอเธนส์จนวอดวายเช่นกัน และถือว่าเป็นการเผาเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่อย่างเปอร์เซียถูกกองทัพของอเล็กซานเดอร์ทำลายแล้วอย่างราบคาบ หลังจากนั้นก็สามารถยึดครองเมืองที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิเปอร์เซียได้ทั้งหมด และมุ่งหน้าบุกอินเดียต่อไปการบุกอินเดียของอเล็กซานเดอร์นั้นในระหว่างการเดินทางการรบ ในเมืองต่างๆ อเล็กซานเดอร์ได้อภิเษกอย่างถูกต้องกับ “โรซานา”ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งบาคเตรีย และพระนางได้เดินทางไปกับอเล็กซานเดอร์ทั้งในยามศึกสงคราม การเดินทางมุ่งขยายดินแดนของอเล็กซานเดอร์ในอินเดียครั้งนั้นได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น และกองทัพของพระองค์ก็เดินทางกลับมาที่บาบิโลนและพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลงที่บาบิโลนสิ้นสุดบทบาทกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจแห่งจักรวรรดิมาซิโดเนีย ส่วนเมืองใหญ่สำคัญต่างๆ ตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหารคนสนิทที่จงรักภักดีของอเล็กซานเดอร์ เช่น ปโตเลมี ที่ได้สถาปนาราชวงศ์ปโตเลมีขึ้นมาในอียิปต์ เป็นต้น








_______________________________________
อ้างอิง
BBC, Alexander the Great (356 - 323 BC) , http://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/alexander_the_great.shtml, 9 พฤศจิกายน 2558.
 Bio , Alexander the Great - Rise to Power, http://www.biography.com/people/alexander-the-great-9180468/videos/alexander-the-great-rise-to-power-17439811678, 7 พฤศจิกายน 2558.
EyeWitiness to History  ,The Death of Alexander the Great,323 BC, http://www.ancient.eu/Alexander_the_Great/, 9 พฤศจิกายน 2558.
history of macedonia blog , Alexander the Great Alexander of Macedon Biography
                   King of Macedonia and Conqueror of the Persian Empire, http://www.historyofmacedonia.org/AncientMacedonia/AlexandertheGreat.html, 7 พฤศจิกายน 2558.
ดวงธิดา ราเมศวร์. อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่กับกรีกในสมัยของพระองค์.กรุงเทพฯ : แพรธรรม. 2537.








วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559


             ทำไมประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงจึงมีประเพณีสู่ขวัญข้าวเหมือนกัน


แหล่งที่มา: http://www.anantasook.com/the-third-month-e-shan-new-year/


ความสำคัญของประเพณีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญข้าวเป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล ตามความเชื่อดั้งเดิมคือการเคารพบูชาพระแม่โพสพผู้ดูแลข้าวของชาวนาให้เจริญงอกงามดีเป็นการขอขมาและขอบคุณพระแม่โพสพหรือเทพีแห่งข้าวผู้มีบุญคุณกับชาวนาเพราะเปรียบเสมือนเทพเจ้าผู้ดูแลพืชพันธ์ธัญญาหารให้ชาวนาและสัตว์ใช้เป็นอาหารเลี้ยงชีพ เมื่อมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตจึงมีการทำพิธีเพื่อเรียกขวัญของพระแม่โพสพที่ตกหล่นตามท้องนาขึ้นสู่ยุ้งฉางเพื่อบูชาพระแม่โพสพ และยังเป็นพิธีที่เชื่อกันว่าจะทำให้ชาวนาได้ข้าวอุดมสมบูรณ์ตลอดไป
ปัจจัยแรก ภูมิศาสตร์ เนื่องมาจากว่าภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีแม่น้ำโขงไหลผ่านซึ่งถือเป็นแม่น้ำสายหลักของภูมิภาค และยังมีแม่น้ำสาขาสายที่แตกออกจากแม่น้ำโขงที่ไหลเข้าไปในพื้นที่ตอนในของแต่ละประเทศหรือเรียกว่า ลุ่มแม่น้ำโขงอันได้แก่ แม่น้ำมูล แม่น้ำชี ในประเทศไทย แม่น้ำกก ในประเทศลาว และทะเลสาบเขมรในประเทศกัมพูชา ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกการเกษตรเป็นอย่างยิ่งการมีน้ำคอยหล่อเลี้ยง ส่งผลให้คนในภูมิภาคนี้ประกอบอาชีพการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่เป็นอาชีพหลักของแต่ละครัวเรือน 
แหล่งที่มา: http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-economic-business/result.php?SECTION_ID=468&ID=15143

ปัจจัยที่สอง ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของผู้คนในภูมิภาคนี้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในอดีตพื้นที่ในภาคอีสานเคยอยู่ในอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างๆเช่น ขอมโบราณ ทวารดี ล้านช้าง รัตนโกสินทร์ ล้วนมีความผู้พันกับการทำการเกษตรคือการปลูกข้าว และมีการปฏิสัมพันธ์ต่อกันมาตลอดมีแนวความคิดและความเชื่อเหมือนกัน เพราะมีอาณาบริเวณอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าในทางประวัติศาสตร์ ผู้คนในภูมิภาคนี้มีความผูกโยงสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ทั้งภาษา วัฒนธรรมประเพณี พิธีกรรมความเชื่อ โดยเฉพาะประเพณีการสู่ขวัญข้าวที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้คนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมีความผูกพันอยู่กับข้าวมาทั้งชีวิต มีคติความเชื่อที่เหมือนกันคือการสู่ขวัญข้าว
 ปัจจัยที่สาม ด้วยสภาพอากาศของภูมิภาคเป็นเขตมรสุมมีฝนตกชุกต้องตามฤดูกาล ดังนั้นกาลทำนาทำเกษตรกรรมจึงต้องทำตามฤดูกาลเพื่อให้ได้ผลผลิต และตรงตามเป้าหมายในฤดูกาลเก็บเกี่ยวโดยฤดูทำนาจะเริ่มทำกันในช่วงเข้าสู่ฤดูฝน เก็บเกี่ยวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว
ปัจจัยสี่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนในพื้นที่อาศัยอยู่ด้วยกันอยู่ในสังคมการเกษตรเหมือนกัน ที่มีคติความเชื่อเรื่องผีดั้งเดิมมาแต่ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพล เมื่อผู้คนที่อยู่ในสังคมเกษตรกรรมการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นที่จะต้องบูชาเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติเพื่อดลบัลดาลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีความอุดมสมบูรณ์ในทุกๆฤดูกาลของการทำการเกษตรหรือข้าวได้ผลงอกงามดีและถือเป็นการจัดระเบียบทางสังคม กล่าวคือ จะมีผู้ทำพิธีกรรมสู่ขวัญข้าวในขั้นตอนต่างๆด้วย จนกระทั่งกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมาแต่โบราณจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน
ประเพณีสู่ขวัญข้าวได้สะท้อนให้เห็นความเชื่อของผู้คนในเรื่องผี เรื่องสิ่งศักดิ์ตามธรรมชาติ นั่นคือการอยู่ร่วมกันของคนในพื้นที่ที่ต้องอาศัยธรรมชาติเพื่อดลบัลดาลให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์งอกงามดีตลอดทั้งปี ความเชื่อเรื่องพระแม่โพสพเป็นผู้ดูแลข้าว การประกอบพิธีสู่ขวัญข้าวเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าปีต่อๆไปผลผลิตจะมีมากกว่าเดิม ให้แม่โพสพช่วยปกปักษ์รักษาผลผลิตไม่ให้เกิดความเสียหาย นอกจากนั้นแล้วตำนานเรื่องพระแม่โพสพยังมีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาด้วย อาจกล่าวได้อีกอย่างว่าตำนานได้พยายามอธิบายให้เห็นว่าพระแม่โพสพผู้ดูแลข้าวการประกอบพิธีกรรมสู่ขวัญข้าว กับการกำเนิดเมล็ดข้าวนั้นเป็นพิธีส่วนหนึ่งในพุทธศาสนาที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วได้รับการสืบทอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน สามารถสรุปว่าบริเวณลุ่มน้ำโขงเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ประชาชนทั้งหลายต่างมีความเชื่อร่วมกันตามปัจจัยต่างๆที่กล่าวไปข้างต้น


 





พระเจ้าแผ่นดินที่ 2


แหล่งที่มา : http://cavthai.blogspot.com/2015/08/21033.html

สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายเรื่องความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของชาวต่างประเทศเรื่องฐานะที่เท่าเทียมกันระหว่างพระมหากษัตริย์หรือวังหลวง กับพระมหาอุปราชหรือวังหน้าว่า เกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพิ่มพระเกียรติยศของสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ซึ่งเป็นพระมหาอุปราช ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" แล้วอธิบายให้ชาวต่างประเทศเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 2 ซึ่งทำให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งทหารวังหน้าขึ้นและมีอาวุธยุทธภัณฑ์มากมาย
ด้วยเหตุนี้ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญจึงทรงเคยมีทหารในสังกัดมากถึง 2,000 นาย อย่างไรก็ตามกรณีวังหน้าทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลดพระอิสริยยศของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลมิได้เทียบเท่ากับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเพียง กรมพระราชวังบวรวิไชชาญรวมทั้งจำกัดจำนวนทหารในสังกัดวังหน้าเหลือเพียง 200 นายพร้อมปืนเล็ก และต้องอยู่เฉพาะภายในพระราชวังบวรสถานมงคลเท่านั้น


______________________________________________________

อ้างอิง
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, "นิทานที่ 19 เรื่องเมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน 2 พระองค์" ใน
นิทานโบราณคดี, (กรุงเทพฯ, บรรณาคาร, 2543) หน้า 327-348.

สุนิสา มั่นคง. วังหน้ารัตนโกสินทร์. (กรุงเทพฯศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, 2543)

                  เส้นทางการค้าอยุธยากับญี่ปุ่น



สำเภาญี่ปุ่น เรือตราแดง หรือ ชูอินเซน  แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org


        เมืองท่าการค้าขาย


       อยุธยาถือเป็นเมืองท่าค้าขายอยู่แล้วตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ส่วนเมืองท่าค้าขายที่สำคัญของญี่ปุ่นคือ เมืองนางาซากิ เพราะเรือสำเภาค้าขายของอยุธยาต้องเข้าเทียบท่าที่เมืองนางาซากิ

“ในฤดูคิมหันต์แห่ง(ฤดูร้อน) พ.. 2155 สำเภาไทยเข้าเทียบท่าเมืองนางาซากิ และในวันที่ 26 สิงหาคม นายสำเภาจึงเข้าเฝ้าโชงุน อิเยยัสสุ นอกราชสมบัติที่วังซัมบุ เพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการมีผ้ายกลายทอง ผ้าสักราดสีแดงเข้ม หนังปลาฉลาม เป็นต้น และอีกราวหนึ่งปีต่อมาก็ได้มีสำเภาไทยไปยังท่าเมืองนางาซากิอีก 2 ลำ”


สำเภาอยุธยา แหล่งที่มา :http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/2007/07/05/entry-1


 เส้นทางการเดินเรือค้าขายและฤดูการค้า

         การค้าอยุธยากับญี่ปุ่น ไม่สามารถเดินทางค้าขายโดยทางบกได้สะดวกเพราะต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานและลำบาก เพราะต้องผ่านเกาหลี และจีนกว่าจะถึงอยุธยาต้องใช้เวลาที่ยาวนานและไม่เคยมีปรากฏหลักฐานการเดินทางค้าขายทางบกระหว่างอยุธยากับญี่ปุ่นมาก่อน ดังนั้นต้องอาศัยเส้นทางการค้าทางทะเลผ่านทะเลจีนใต้ อาศัยการเดินเรือติดต่อกัน ดังพระราชสาส์นศุภอักษรฮอนดา มัสสึสุมิ ถึงราชเสวกแห่งสยาม ได้กล่าวถึงการเดินทางติดต่อกันดังต่อไปนี้
“ด้วยเหตุที่หนทางไปมาของเรา แม้ทางน้ำก็เป็นทางที่ไกล ทางบกก็มิใช่ทางสะดวก มีแต่ภูเขาอยู่กลาดเกลื่อน ล้วนแต่เป็นเครื่องถ่วงเวลาและยึดหนทางของเราให้ชักช้าไปทุกอย่างจึงไม่มีโอกาสสื่อสารถึงกันได้”
อักษรสาส์นโชงุน ถวายพระเจ้ากรุงสยามได้กล่าวถึงถิ่นฐานบ้านเมืองของอยุธยากับญี่ปุ่นไว้ว่า

“ด้วยว่าถิ่นฐานบ้านเมืองของข้าพเจ้ากับของพระองค์มีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่คั่นขวางอยู่จึงมิได้มีการคมนาคมติดต่อกันมาแต่กาลก่อนแต่เพราะเหตุที่มีเรือพ่อค้าไปมาอยู่บ้างข้าพเจ้าจึงได้ทราบขนบธรรมเนียมของพระองค์พอเป็นเลาความ”

ดังนั้นการค้าระหว่างอยุธยาจึงเป็นไปได้เพียงทางเดียวคือการค้าทางทะเล ที่เรือต้องเดินทางมาตามทะเลจีนใต้ และการค้าทางทะเลต้องเดินเรือจากญี่ปุ่นมาอยุธยาและจากอยุธยาไปญี่ปุ่น ซึ่งต้องอาศัยทิศทางลมมรสุมในการออกเดินทางโดยเรือ อักษรสาส์นโชงุนถึงพระเจ้ากรุงสยาม กล่าวว่า

 “ในฤดูคิมหันต์ข้าพเจ้าได้รับพระราชสาส์นของพระองค์ ซึ่งประทานไปทางเรือสำเภาพ่อค้า”
ฤดูคิมหันต์หมายถึง ฤดูร้อน การที่โชงุนได้รับพระราชสาส์นของสมเด็จพระเอกาทศรถจากเรือพ่อค้าที่เดินทางไปญี่ปุ่นถึงฤดูร้อนนั่นหมายความว่า การเดินทางโดยเรือพ่อค้าต้องอาศัยลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดขึ้นสู่เหนือ โดยช่วงนี้พ่อค้า จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จึงต้องรอลมมรสุมนี้เพื่อพาเรือให้ขึ้นเหนือต่อไป และถ้าหากจะนำเรือกลับลงมาค้าขายทางใต้ต้องรอลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จะพัดเรือพ่อค้าลงสู่ทิศใต้เพื่อเดินทางมาค้าขายยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้งหนึ่ง



   
รายชื่ออักษรสาส์นระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงญี่ปุ่น


แหล่งที่มา : http://www.wikiwand.com


แบ่งเป็น 6 ตอน  คือ

ตอนที่ 1
                                    1. อักษรศาส์นของโชงุนอิเยยัสสุถวายพระเจ้ากรุงสยาม
                                    2. ศุภอักษรฮอนดา มัสสุมิ ถึงราชเสวกแห่งกรุงสยาม
                                    3. อักษรสาส์นโชงุนถึงพระเจ้ากรุงสยาม          
                                    4. ศุภอักษรฮอนดา โกสุเกะ โนสุเกะ ฟูจิวารา โนมัสสึสุมิ ถึงออกญาพระคลัง

 ตอนที่ 2
                                      สรรพหนังสือโต้ตอบหมวดที่ 2 เกี่ยวกับคณะทูตสยามเมื่อ พ.. 2164 มี 7 ฉบับ
                                     1. ศุภอักษรออกพระจุฬา ถึงเจ้าเมืองนางาซากิ
                                     2. ศุภอักษรออกญาศรีธรรมราช ถึงฮอนดา มัสสึสุมิ
                                     3. พระราชสาส์นพระเจ้าทรงธรรม ถึงโชงุน
                                     4. อักษรโชงุนถวายพระเจ้าทรงธรรม
                                     5. หนังสือเสนาบดีญี่ปุ่นตอบศุภอักษรออกญาพระคลัง
                                     6. หนังสือยามาดะ นางามาซะ ถึงโดอิ โทชิคัสสุ
                                    7. หนังสือฮอนดา โกสุกะ และโดอิโอเย ตอบยามาดา นางามาซา

ตอนที่ 3

                                       ใน พ.. 2166 มีสาส์น จากไทยไปญี่ปุ่นรวม 5 ฉบับ
                                      1. พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงสยาม ถึงพระเจ้ากรุงญี่ปุ่น
                                      2. อักษรศาส์นโชงุนมินาโมโตะ ฮิเดทาดะ ตอบพระราชสาส์นถึงพระเจ้ากรุงญี่ปุ่น
                                      3. หนังสือออกญาสรีธรรมราช ถึงซาไกอูตาโนคามิ
                                      4. หนังสือฟูยีวารา ทาดาโอ อูตาโนคามิ ถึงออกญาพระคลัง
                                      5. เหมือนกับฉบับที่ 3
                                      6. หนังสือโดอิ โทชิคัสสุ ตอบออกญาพระคลัง
                                      7. หนังสืออิตากุระ สุโท ตอบออกญาศรีธรรมราช (ออกญาพระคลัง)


ตอนที่ 4

                                          1. หนังสือมะกิโน โนบุนะริ ถึงออกยาพระคลัง

ตอนที่ 5

                                              1. ศุภอักษรออกญาพระคลัง ถึงซาโก ทากาโต
                                              2. หนังสือ ซาไก ทากาโอ ตอบออกญาพระคลัง
                                              3. มุขมนตรีไทยมีถึง ไดอิ โทชิคัสสุ และซาไก ทากาโอ ข้อความบกพร่องจึงมิได้นำมารวบรวม ไว้
                                              4. หนังสือโอเย โนกามิ ฟูจิวารา โทชิคัสสุ ถึงออกญาพระคลัง


ตอนที่ 6

                                                    1. พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงสยามถึง โชงุน
                                                    2. อักษรสาส์น โชงุน ถวายพระเจ้ากรุงสยาม
                                                    3. ศุภอักษรเสนาบดี กรมท่า ถึงซาไกทาดาโย
                                                    4. หนังสือ ซาโก ทาดาโย และ โดอิ โทชิคัสสุ ถึงเสนาบดีกรมท่า
                                                    5. หนังสือ อิตะกุระ หิเดมุเน ถึงออกญาพระคลัง
                                                    6. หนังสือยามาดา นางามาซา ถึงขุนนางในซา ทาดาโย

                                                    7. หนังสือซาไก ทาดาโย ถึงยามาดา นางามาซา 

ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของราษฎรในท้องถิ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

              ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของราษฎรในท้องถิ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2


         
ประการแรก เป็นปัญหาการใช้เงินดอลลาร์ของทหารญี่ปุ่น เพราะเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาได้นำเงินดอลลาร์ทหารญี่ปุ่น และเงินตราสเตรตส์เซ็ทเติลเมนท์ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ และส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่ต้องรับเงินของทหารญี่ปุ่นแม้ว่าทางการไทยจะพยายามยื่นเรื่องไห้ทางญี่ปุ่นช่วยชี้แจงเรื่องนี้ เพราะได้กำหนดไว้แล้วว่าถ้านำเงินตราเหล่านี้มาใช้ต้องไม่เกินสิบบาทต่อคน แต่เพราะยังมีทหารและนายทหารญี่ปุ่นยังคงนำเงินเข้ามาใช้อยู่เป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนแก่เศรษฐกิจของชาติเป็นอย่างยิ่ง 
                       
                  ประการที่สอง ปัญหาเครื่องอุปโภคบริโภคราคาสูง ทั้งนี้เพราะกองทัพญี่ปุ่นกว้านซื้อเสบียงอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับทหารญี่ปุ่นทั้ง ในพม่า มลายู และประเทศไทยโดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการเพิ่มของทหารญี่ปุ่น เชลยศึกสัมพันธมิตร กรรมกรมลายูและจีน บนเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่า และสายอื่นๆตามลำดับ ทำไห้สินค้าขาดแคลนและมีราคาแพงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว เพราะทหารญี่ปุ่นมักซื้อในราคาที่แพงเกินจริง

                         
                  ประการที่สาม ปัญหาขาดแคลนข้าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดทางภาคใต้ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ปลูกข้าวไม่เพียงพออยู่แล้ว และตลอดการประจำการของกองทัพญี่ปุ่นได้ซื้อข้าวไทยเป็นจำนวนมากเพื่อเป็นเสบียง และยังส่งออกไปไห้กับทหารญี่ปุ่นและมลายูอีกด้วย อีกทั้งยังไห้บริษัทของญี่ปุ่นเองเข้ามาซื้อข้าวโดยตรงกับไทย โดยแอบอ้างว่าเป็นของกองทัพเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระอากรส่งออก ทำไห้ไทยขาดแคลนข้าวสาร และปัญหาราคาข้าว ถีบตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา จากเดิมกระสอบละ 17-19 บาท เพิ่มขึ้นเป็นกระสอบละ 26-28บาท จนเกิดการกักตุนข้าวกลายเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขจนรัฐบาลต้องส่งเงินมาเป็นจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้

                 ประการที่สี่ ปัญหาการใช้อำนาจของทหารญี่ปุ่นในกรณีเหตุการณ์บ้านโป่งและเหตุการณ์ยึดจังหวัดระนอง ดร พวงทิพย์ เกียรติสหกุล ได้วิเคราะห์ไว้ว่า จากการที่เกิดเหตุการณ์ทหารญี่ปุ่นมักใช้อำนาจพละการในการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย หรือจับกุมราษฎรไทยไปลงโทษตามใจนั้น ทำไห้เห็นว่าทหารญี่ปุ่นไม่มีความเคารพต่อความเป็นมิตรภาพระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เพราะที่ผ่านมามักเกิดปัญหาความรุนแรงที่ทหารญี่ปุ่นลงโทษราษฎรไทยอย่างหนักและตามอำเภอใจ เช่น หากคนไทยไปขโมยสิ่งของของทหารญี่ปุ่นและถูกจับกุมได้จะถูกลงโทษด้วยวิธีการที่ทรมานทั้งโบยทั้งตี บางคนขโมยน้ำมันก๊าดก็ใช้น้ำมันก๊าดกรอกปาก หรือถ้าขโมยเสื้อ ก็จับใส่เสื้อสังกะสีตากแดดร้อนๆ ซึ่งมีบ้างเหมือนกันที่ถูกทรมานจนตาย โดยเฉาะเหตุรุนแรงที่บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นที่ตั้งของกองพลทหารรถไฟที่ 9 ของญี่ปุ่นในการก่อสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า และเป็นที่ตั้งของค่ายเชลยศึกสัมพันธมิตร จากการที่ทหารญี่ปุ่นตบหน้าพระสงฆ์ไทยและได้ก่อไห้เกิดความไม่พอในในหมู่ชาวไทย จนเกิดการสู้รบกันระหว่างชาวบ้านกับทหารญี่ปุ่น ภายหลังทั้งสองคู่กรณี พระสงค์กับทหารที่ตบหน้าถูกนำตัวขึ้นศาลผลปรากฏว่า พระสงค์ถูกพิพากษาภายใต้ความกดดันไห้ประหารชีวิต แต่ตอนท้ายเห็นว่ามีพฤติกรรมโรคจิตและไม่รู้หนังสือ จึงไห้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทน ดร พวงทิพย์ เกียรติสหกุล วิเคราะห์ว่า เป็นสิ่งที่ทำไห้เห็นถึงความความหยิ่งยโสและความแข็งกร้าวของทหารญี่ปุ่นที่มาในมาดผู้ยึดครอง[1]


แหล่งที่มา  [1] พวงทิพย์  เกียรติสหกุล . ทางรถไฟสายใต้ในเงาอาทิตย์อุทัย. นครปฐม : คณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2554. หน้า 226.





ถนน "เจริญกรุง"ถนนแบบตะวันตกสายแรกของประเทศไทย

    ถนนสายใหม่ สายแรกในประเทศไทย           แรกเริ่มเดิมทีไทยไม่มีการตัดถนนแบบ เรียบๆแบนๆ ดูมีแบบแผน เราใช้ถนนที่เรียกว่า "ทางเกวียน ...